วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การตลาดออนไลน์

การตลาดออนไลน์
พอกล่าวถึงคำว่า "การตลาด" 
มีสักกี่คนที่รู้ว่ามันหมายความอย่างไร 



   การตลาด คือ การที่สินค้าถูกส่งจากผู้ผลิต ไปสู่ผู้บริโภค ส่วนการโปรโมท โฆษณา การที่มีบุคคลนำสินค้าไปนำเสนอ ส่วนต่างๆเหล่านั้น เป็นวิธีทำการตลาด 
   รูปแบบของการทำการตลาด ก็ยังแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆอีก เช่น ค้าปลีก ขายตรง เครือข่าย แชร์ลูกโซ่ ซึ่ง 3 แบบหลังจะถูกเหมารวมว่าเป็นรูปแบบเดียวกัน จริงๆมันมีวิธีการที่คล้ายกัน แต่ทั้ง 3 แบบนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
   วันนี้จะมาพูดถึงการตลาดที่แบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ
   - การตลาดออฟไลน์
   - การตลาดออนไลน์
   
   การตลาดออฟไลน์ คือ การทำการตลาดแบบทั่วไป หรือ แบบเก่า เป็นการทำการตลาดผ่านหน้าร้าน ผ่านตัวแทนที่มีการสื่อสารโดยตรง ผ่านโทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ วิทยุ และสื่อต่างๆที่เป็นสื่อพื้นฐาน เป็นการซื้อขายผ่านตัวบุคคล

   การตลาดออนไลน์ คือ การทำการตลาดผ่านระบบอินเตอร์เน็ต มีหลายช่องทาง อย่างเช่น
   
   * Capture page หรือ หน้าเว็บไซต์
   * Email
   * Socail Network
   * SEO
   * Ads 
   
   ช่องทางเหล่านี้เป็นเพียงส่วนนึงของการทำการตลาดแบบออนไลน์ ยังมีอีกหลายช่องทางที่เป็นตัวช่วยในการทำการตลาด ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักการตลาดยุคใหม่ รวมไปถึงพ่อค้า แม่ค้า ที่เล็งเห็นความสะดวกของช่องทางออนไลน์ 
   ข้อดีของ การตลาดออนไลน์ คือ เราไม่ต้องแหกปากตะโกนขายของ แถมยังไม่มีความเสี่ยงที่จะเสียเพื่อนหรือคนใกล้ชิด เพราะการตลาดแบบนี้จะอาศัยช่องทางที่มีบนโลกออนไลน์ ในการนำเสนอสินค้า ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า (เลือกได้) ส่วนการหลอกลวงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณ ของผู้บริโภค ตัวเลือกสินค้า และร้านค้ามีมากไม่ต้องรีบ ค่อยๆเลือกได้
    สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ดูจะเป็นประโยชน์กับผู้ผลิต หรือ เจ้าของแบรนด์สินค้า ก็น่าจะเป็นที่ตัวสินค้ามีการกระจายตัวสูง เนื่องจากมีคนเห็นสินค้ามากมาย ต่างจากช่องทางออฟไลน์

   แต่อย่างไรเสียทั้ง การตลาดแบบออฟไลน์ หรือ การตลาดแบบออนไลน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็น ตัวสินค้าและความน่าเชื่อถือของนักการตลาดอยู่ดี เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็ยังกลัวการถูกหลอกอยู่ดี
   สำหรับบทความต่อไปจะมาพูดถึงเครื่องมือสำคัญที่ควรมี ในการทำ การตลาดแบบออนไลน์ ติดตามได้ที่นี่หรือแฟนเพจ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อยากรวย แต่ไม่อยากทำอะไร เป็นไปได้รึเปล่า?

อยากรวย


แค่หัวข้อก็กินขาดแล้ว ผมว่าหลายคนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน อยากมีเงินแต่ไม่อยากเหนื่อยไปมากกว่านี้ มันต้องมีสักอย่างที่ตอบสนองความต้องการนี้ได้

เราลองมาหากันดูดีไหม ว่ายังพอมีรึเปล่าบนโลกใบนี้ ไอ้ที่ว่าไม่ทำอะไรก็รวย

จากที่ค้นหาใน Google ดูแล้วมันก็พอจะมีให้เห็นอยู่นะ งานหรือธุรกิจที่รวยเร็ว รวยง่าย โดยที่ไม่ต้องทำอะไร ก็ธุรกิจประเภทหลอกสตางค์ชาวบ้าน หากินบนความโลภของมนุษย์ ลงทุนน้อยได้กำไรเกินครึ่ง ไม่ต้องทำอะไรมากแค่นำเสนอโอกาสเอาจำนวนรายได้มากๆมาหลอกล่อให้มนุษย์ผู้โหยหาความสบาย ไปติดกับดักแห่งความโลภของตัวเอง หรือที่หลายต่อหลายคนเรียกว่า "แชร์ลูกโซ่"

กระจ่างสว่างวาบ มันไม่มีหรอกงานหรือธุรกิจที่ไม่ทำอะไรแล้วรวยอ่ะ แต่คนที่เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจ เขาทำ เขาเหนื่อยมาก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่เราไปมองตอนที่เขารวยและสบายแล้วเท่านั้น ตอนที่เขาลำบากฝ่าฟันอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจเราไม่ได้สนใจตรงนั้นไง เลยคิดว่าเขารวย เขาสบาย

ธุรกิจบนโลกนี้มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่ทั้งหมดล้วนต้องแรกมาทั้งประสบการณ์ ความเสี่ยง และโอกาส ยากบ้าง ง่ายบ้าง ขึ้นอยู่กับความชำนาญของเจ้าของและผู้ปฎิบัติ บางธุรกิจใช้เวลานานกว่าจะสำเร็จ บางธุรกิจเหมือนจุดไฟติดในครั้งเดียว 

เห็นรึเปล่าว่ามันมีหลายปัจจัย ในการทำงานหรือธุรกิจ แต่ไม่มีข้อไหนที่บอกว่าไม่ต้องทำอะไร ถ้าเรารักสบายให้อยู่แบบเดิม อยู่กับความเคยชิน อย่าไปล้มเลิกสิ่งหนึ่งเพื่อมาเริ่มสิ่งใหม่ มันจะไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าจะเลิกต้องแน่ใจเสียก่อนว่าสิ่งใหม่ที่เรากำลังจะทำหรือลงมือทำอยู่นั้น มันดีกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นอย่าเลิก

ทุกคนมีสิทธิ์รวยได้อย่างแน่นอน ถ้ารู้จักสิ่งที่ทำอยู่อย่างชัดแจ้งเห็นจริง ไม่มีอะไรเกินความพยายามของมนุษย์หรอก ถ้าอยากสำเร็จอย่างถูกต้องนั้นไม่ยาก ให้ไปดูคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตหรือธุรกิจแล้ว เราจะได้ไม่หลงทาง รู้ว่าทำยังไงถึงรวยทำ รู้ว่าทำอย่างนี้แล้วเจ๊งก็อย่าไปทำแค่นั้น

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เปลี่ยนของเล่น ให้เป็นเครื่องมือ

Social Marketing 

   
   หลายคนในที่นี้ปฎิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตความเป็นอยู่ในทุกๆวัน มันขาดสิ่งที่เรียกว่า Social Media ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , Line , Instagram , Twitter และสื่ออื่นๆอีกมากมาย 
   แล้วคุณรู้อีกหรือไม่ว่า การเติบโตของผู้ใช้งานสื่อเหล่านี้ ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แทรกเข้าไปยังทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกวัย ทุกระดับชั้น ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้งาน Social Media ได้ด้วยกันทั้งนั้น


    ทีนี้คุณเห็นอะไรในนั้นรึเปล่า หลายคนอาจจะมองเห็นแค่กลุ่มคนที่มาใช้งานมากขึ้น มาแย่งการใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้ฉันติดต่อสื่อสารได้ช้าลง
   แต่ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็น " โอกาส "  โอกาสที่จะนำสินค้า การบริการ หรือสื่อที่มีประโยชน์มานำเสนอกับกลุ่มคนเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายฐานลูกค้า และสิ่งที่จะได้รับกลับมาคือ รายได้

   จะมัวมานั่งโพสต์ แชร์ เรื่องราวของชาวบ้านอยู่ทำไม ลองนำสินค้าหรืออะไรที่คุณมี มาโพสต์ขายสิ บางทีอากาศที่แปรปวนก็ไม่เชิญชวนให้ลูกค้าของคุณออกมาหาถึงหน้าร้านก็ได้ ในโลกออนไลน์ก็มีแหล่งที่เปิดโอกาสให้นำสินค้ามาวางขายโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าตั้งเยอะแยะไป ไม่แน่นะอาจจะขายดีกว่ามีหน้าร้านอีกทำเป็นเล่นไป
   แต่อย่างว่านะทุกอย่างมันมี 2 ด้านเสมอ ไอ้โซเชียลเนี้ยะมันก็สังคมแบบนึงเหมือนกัน อะไรที่ดีก็สนับสนุน ก็อวยกันไป แต่ถ้าไปทำเสื่อมเมื่อไหร่ ก็พร้อมจะรุมประนามกันได้ทุกเมื่อ 
   เช่นนั้นแล้ว จะทำอะไรก็บริสุทธิ์ใจเข้าไว้ อย่าไปโกง อย่าไปเอาเปรียบลูกค้าแล้วกัน จะได้มีรายได้กันไปยาว ยาว




วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เหนื่อยหน่าย โดดเดี่ยว

เมื่อต้องเผชิญ
"อุปสรรคเป็นเรื่องน่ากลัว ถ้ามองมันใหญ่กว่าตัวเรา
เคยคิดกันไหมว่าอุปสรรค อาจเกิดจากตัวเราเองก็ได้"
แล้วเราจะรับมือกับมันยังไง?

วิธีการรับมือ
  ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าอุปสรรคมันคืออะไร แล้วค่อยๆแยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้มันเล็กลงแล้วค่อยหาทางออกทีละเปราะ แค่นี้ไอ้อุปสรรคที่ใหญ่โตมโหราฬ มันจะดูเล็กลงทันที และที่ลืมไม่ได้คือค้นหาว่า ไอ้อุปสรรคเนี่ยะมันเกิดจากอะไร เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก อย่าลืมสำรวจตัวเรานะ ว่าเป็นตัวนำอุปสรรคเข้ามารึเปล่าเพราะบางครั้งอุปสรรคต่างๆนาๆมันมักมาจากตัวเราเอง (คุณไม่รู้ตัวหรอก)

  เมื่อเจอแล้วตั้งสติอย่าร้อนรน การแก้ปัญหารีบไปก็ไม่ดี ช้าไปก็ไม่ทันการณ์ อาศัยความพอดีของจังหวะเวลา ถ้าปัญหามาจากตัวเราให้รีบปรับจุดบกพร่องในตัวเองเสีย อันนี้ช้าไม่ได้ แต่ถ้าปัญหามาจากสิ่งรอบตัวหรือเพื่อนร่วมงาน แบบนี้ต้องค่อยๆแก้ รีบไปอาจเสียการใหญ่ ความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานมันเปราะบางอาจพังลงง่ายๆ 

ป้องกันไว้ก่อน
   และนั่นคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกันการเกิดปัญหาในการทำงานหรือในธุรกิจได้ ด้วยการวางแผนการทำงาน เพื่อให้รู้ขั้นตอนข้างหน้าว่าเราจะทำอะไร ทีนี้พอเกิดปัญหาอะไรขึ้นเราจะรู้ทันทีว่าควรแก้ไขไปในทิศทางใด เพราะเรามีแผนงานวางไว้แล้ว แถมถ้าแผนนั้นกำหนดระยะเวลาการทำงานไว้ด้วยจะยิ่งดีไปใหญ่ 

   เมื่อเรารู้จักว่าเรากำลังทำอะไร มีแผนงานยังไง รู้ขั้นตอนและวิธีการทั้งหมด ทีนี้ต่อให้ปัญหาใหญ่สักแค่ไหนก็เอาอยู่ เตรียมตัว เตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาไว้เสมอ ยังไงก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วพอเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็พาลล้มเลิก ท้อถอย สิ้นหวัง หดหู่ มาครบ

**** การวางแผนกับสติจะพาคุณหลุดพ้นจากอุปสรรคต่างๆได้ **** 


  สอนงานมือใหม่สู่มืออาชีพ

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

อุปสรรคของความสำเร็จ

เมื่อเป้าหมายถูกบิดเบือน
   คุณเคยเกิดความขัดแย้งในตนเองรึเปล่า มันทำให้ความรู้สึกและจิตสำนึกนั้นถูกลบเลือน ด้วยความคิดของคุณเองเลยนะ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทรมาน สับสน กังวล จนเกิดความไม่แน่ใจ ในสิ่งที่เคยเชื่อมั่น
   ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เรา เกิดความขัดแย้งในตนเอง ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ทั้งสิ่งเหตุการณ์ที่เจอกับตัวเอง ทั้งประสบการณ์ที่เล่าต่อๆกันมา ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ โดยทั้งสิ้น เราจะมาแยกออกเป็นส่วนๆเพื่อให้รู้วิธีแก้ไขเป็นข้อๆต่อไป


   

ปัจจัยภายนอก
   หลายคนคงเคยประสบพบเจอมาแล้วทั้งนั้น กับการที่เราจะเริ่มทำอะไรสักอย่างมักจะมีเพื่อน หรือ คนใกล้ตัวมาคอยแสดงความคิดเห็นทางด้านลบ อย่างเช่น จะทำได้เหรอ เห็นเจ๊งกันมาเยอะแล้ว ราคาแพงไปมั๊ย ขายตรงอีกล่ะไม่ยุ่งด้วยนะ 
   จะเริ่มธุรกิจที่มันสุจริตสักงาน มันช่างยากแสนเข็ญ งานที่เป็นรูปธรรมมองเห็นจับต้องได้มันไม่ค่อยมีคนเชื่อว่าทำได้ แต่อะไรที่มองไม่เห็น มีจริงรึเปล่าไม่รู้  แต่เค้าบอกว่าได้แน่ๆแมร่งเชื่อ สมมุติเราบอก "เสื้อสีเขียวแกใส่ไม่ขึ้นอ่ะ" มันไม่เชื่อ แต่หมอดูบอก "ห้ามใส่เสื้อสีเขียวเป็นอัปมงคล" แมร่งเชื่อ!! นี่แหล่ะมนุษย์
แก้ไข
   แก้ไม่ยากเลย เชื่อมั่นในตัวเองสิเราทำได้ ทำไม่ได้ต้องรอให้คนอื่นมาบอกเหรอ มันต้องรู้ตัวเองแล้ว ธุรกิจนี้เลือกมากับมือ จากความชอบ จากงานที่เรารัก คนที่จะทำมันได้ดีที่สุดก็คือ ตัวคุณเองไม่ใช่ใครเหรอ หรือ จะให้คนที่ไม่ได้มาลงมือทำคอยบอก เชื่อคุณต้องเชื่อ
ถ้าคุณเชื่อ คนอื่นก็จะเชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อเช่นกัน 



ปัจจัยภายใน
   ข้อนี้ไม่ได้เกิดจากใครเลย เกิดจากตัวเราเองล้วนๆ แล้วมันเกิดมาจากอะไรได้บ้าง ช่วงเริ่มต้นของธุรกิจบางธุรกิจก็เริ่มต้นได้ดี กับบางธุรกิจมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด และสิ่งนี้ก็จะเกิดนั่นคือ "ความท้อ" 
   บางครั้งคนเราก็มองข้ามบางอย่าง ที่ใกล้ตัวไปได้เหมือนกัน นั่นคือ "ความพยายาม" คนส่วนใหญ่ถ้าผิดพลาดมักจะไม่ค่อยโทษตัวเองแต่จะโทษทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ทั้งๆที่บางอย่างอาจเกิดจากตัวเราเอง
แก้ไข
   อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน แต่ถ้าเรามีการวางแผนมาเป็นอย่างดี วิธีการทำงานก็จะเป็นขั้นตอน และตรวจสอบจุดบกพร่องได้ง่าย วางแผนให้เป็นขั้นตอน ทำการกำหนดช่วงเวลา ทีนี้ถึงก้าวพลาดก็ไม่ต้องมาเริ่มใหม่ทั้งหมด แค่ย้อนขั้นตอนกลับไป 
   เปรียบง่ายๆเหมือนทอดไข่เจียว ใส่ไข่ก่อนน้ำมัน กับ ใส่น้ำมันก่อนไข่ ผลลัพท์มันก็ต่างกันทั้งๆที่มาจาก 2 สิ่งที่เหมือนกัน ทำธุรกิจก็เหมือนกัน อย่าไปทำให้มันยาก เราลองคิดที่จะมีผลลัพท์ยากๆด้วยวิธีการง่ายๆดูสิ น่าสนุกนะ




คำคม คม แรงบันดาลใจดี ดี ใครก็พูดได้ มันต่างกันที่ ใครจะทำ

GDI Prosective

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

หมดปัญหาเรื่องเวลาทำงาน ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ

The system works
   หรือ การทำงานอย่างเป็นระบบ ทุกวันนี้หลายคนที่ใช้เวลาทำงานไปพร้อมๆกับออกแรงทำงาน แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงการวางแผนระบบการทำงาน คงจะมีแต่เจ้าของกิจการหรือไม่ก็ผู้นำองค์กร ที่มองเห็นตรงส่วนนี้ว่าสำคัญ 
   คนส่วนใหญ่ในประเทศจะเป็นชนชั้นแรงงาน ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจและเอกชนเป็นส่วนใหญ่ จึงได้แต่ทำตามระบบให้หมดเวลางาน มากกว่าจะคิดวางแผนระบบการทำงานของตัวเอง ข้อนี้เถียงได้ถ้าไม่จริง 


   ผมจึงอยากให้มองเห็นความสำคัญในการสร้างระบบการทำงาน บางทีอาจเป็นทางเลือกให้คุณ มีรายได้มากกว่าหนึ่งทางก็เป็นได้ ลองคิดดูสิว่าปัจจุบันถ้าคุณมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ค่าดำรงค์ชีพ ค่าบัตรเครดิต ค่าเช่าห้อง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ บางคนยังมีผ่อนบ้าน ผ่อนรถอีก เงินเดือนคุณมันพอกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้รึเปล่า นี่ยังไม่รวมค่าสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเลยนะ 
   ก่อนที่จะไปไกล มาว่ากันด้วยเรื่องระบบดีกว่า ถ้าคุณจัดการวางแผนการทำงานให้เป็นขั้นตอน งานของคุณก็จะเสร็จตามเป้าหมายเร็วขึ้น แยกออกมาเป็นข้อๆอย่างเช่น
1. เป้าหมายการทำงาน
2. จัดการแยกงานเป็นหมวดหมู่
3. ทำที่ละหมวดตามความสำคัญ
4. ตรวจทาน
5. สรุปงานตามเป้าหมายทั้งหมด
   มันอาจจะดูมีข้อจำกัด เหมือนจะดูยุ่งยากแต่เชื่อเถอะครับว่ามันเวิร์ค ลองคิดดูถ้าไม่ได้วางระบบงานไว้ เวลามีปัญหาคุณอาจต้องมาแก้ไขใหม่ตั้งแต่ต้นเพราะหาสาเหตุไม่เจอ แต่ถ้าจัดสัดส่วนการทำงานแล้ว จะมองเห็นปัญหาได้ตั้งแต่มันยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป
   ถ้าคุณเสียเวลามาวางแผนระบบการทำงาน วันนึงคุณอาจได้วางแผนชีวิตตัวเองใหม่ จากที่เคยใช้แรง ใช้เวลาไปกับงานของคนอื่น มาเป็นใช้เวลาสร้างอนาคต สร้างอาชีพของคุณเอง อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน 

 *** อยากมีเวลาใช้ชีวิต เอาเวลามาสร้างชีวิตก่อนมั๊ย ***

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน


5 ขั้นตอนเปลี่ยนแนวคิด
   ทุกวันนี้ชีวิตคุณเป็นอย่างไร ยังอยู่กับรูปแบบชีวิตเดิมๆอยู่หรือไม่ แสวงหาความก้าวหน้าแต่ไม่กล้าออกจากกรอบชีวิต อยากเปลี่ยนงานที่ทำ อยากหารายได้เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่
   ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพียงแค่คุณก้าวข้ามความกลัวทุกอย่าง แล้วมาทดสอบความสามารถของตัวคุณเอง บางทีคุณอาจทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ ด้วยขั้นตอนง่ายๆที่ผมจะนำมาให้คุณได้ลองทำตามดู

1. หยุดเปรียบเทียบ
   คนส่วนใหญ่ชอบที่จะเปรียบตัวเองกับคนอื่นที่สำเร็จ ว่าคนเหล่านั้นเกิดมามีพร้อมทุกอย่าง พวกเค้ามีเงินได้เพราะฐานะทางบ้านมีอันจะกินอยู่แล้ว 
   ลองคิดดูนะครับ บางคนไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิดแต่เค้าก็มีฐานะขึ้นมาได้ เพราะอะไรหล่ะครับ เพราะเค้ามีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น อยากขับรถสปอร์ตถ้ามัวแต่นั่งฝัน มันก็เป็นจริงได้แค่ความคิด 

2. ไม่จำเป็นต้อง Prefect
   ถ้าคุณจะทำอะไรให้ทุกอย่างมัน 100% คุณต้องอาศัยความตั้งใจอย่างมาก จนสุดท้ายไอ้ความตั้งใจแล้วไม่สำเร็จนั่นแหล่ะที่มันจะพาคุณไปสู่หนทางของความล้มเหลว ตั้งเป้าไว้สูงเกินเอื้ยมโดยที่ไม่มองความเป็นจริง สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า
   คุณอาจทำมันให้ดีได้ โดยที่ซอยมันออกเป็นช่วงๆเหมือนเราสร้างอาคาร มันต้องเริ่มจากฐานรากที่ดีจึงนำมาซึ่งชั้นต่อๆไป ให้ความสำเร็จมันส่งเสียงทีละขั้น ทีละตอนจนมันยิ่งใหญ่จนบางครั้งคุณเองยังไม่รู้ตัว

3. หาหลักฐานเสริมความคิด
   ถ้าคุณคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ มันก็ทำไม่ได้วันยันค่ำ เลิก!! ความคิดนั้นซะ แล้วลองหาข้อมูลมาสันบสนุนความสำเร็จของตัวคุณเอง ดีกว่าเที่ยวมาหาข้อมูลสนับสนุนความขี้เกียจของคุณ เช่น คุณจะบอกเรื่องอะไรสักเรื่อง คุณต้องมีหลักฐานประกอบเรื่องนั้นด้วย คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าคุณคิดไปเอง 

4. ให้คำจำกัดคำว่า "ผิดพลาด" ซะใหม่
   ทุกคนล้วนผิดพลาดกันได้ แต่จะมองความผิดพลาดนั้นยังไงเท่านั้นเอง ถ้าคุณมองความผิดพลาด คือ ความล้มเหลวชีวิตคุณก็จะเจอแต่ความมืดมนหาแสงสว่างไม่เจอ ผิดนิด ผิดหน่อยก็ไม่กล้าที่จะเดินต่อกลัวความล้มเหลว
   แต่ถ้าคุณมองความผิดพลาดนั้นเป็นโอกาส โอกาสที่คุณจะได้แก้ไขสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไป โอกาสที่จะได้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้งโดยมีสิ่งหนึ่งที่ได้มาเพิ่มจากครั้งที่แล้วนั่นคือ "ประสบการณ์"

5. หยุดที่จะใส่ใจความคิดของคนอื่นมากเกินไป
   จะดีมั๊ยถ้าวันๆคุณมัวแต่รับฟังคนอื่นที่เค้าไม่ได้มามีส่วนร่วมในความสำเร็จของคุณ บางคนหนีด้วยการเลือกฟังแต่สิ่งที่ดีจนลืมความเป็นตัวเอง บางคนฟังแต่อะไรแย่ๆ มันทำไม่ได้หรอกทำไปสักพักมันก็ต้องเลิก แล้วที่นี่จะเอากำลังใจจากไหนมาสู้ชีวิตต่อไป
   เรื่องแย่ๆฟังได้นะแต่ให้นำมาเป็นแรงฮึดขึ้นสู้ โดนดูถูกว่าทำไม่ได้ ก็ทำให้เค้าเห็นสิว่าเราทำได้ คนส่วนใหญ่ที่เที่ยววิจารณ์คนอื่นในแง่ลบ มักเป็นพวกที่รู้ แต่ไม่จริง เพราะคนที่เค้ารู้จริงเค้าจะคอยบอกว่าทำอย่างไหนมันถึงสำเร็จ พอเค้าบอกเค้าสอนกันมากๆไอ้คนเรามันก็ไปคิดว่าเค้าอวดรู้ อวดดีเสียอีก 

   ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ มันอยู่ที่คุณลงมือที่จะทำมัน อย่างที่บอกถ้ามัวแต่คิดความสำเร็จมันก็เกิดขึ้นได้แค่ในความคิด
***** ชีวิตของคุณ คุณจะรอให้ใครมาเปลี่ยนชีวิตคุณ *****

Facebook : GDI Prosective