วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด

เรียนรู้จากคนสำเร็จ
............................
หมูทอดเจ๊จง "อยากสำเร็จต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง"!
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ “หมูทอดเจ๊จง” กันมาบ้าง อาจจะเคยไปอุดหนุนข้าวหมูทอดที่ร้าน หรือจะรู้จักผ่านทางรายการ SME ตีแตก หรือแม้แต่รู้จักตัวตนของเจ๊จงจากทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์ facebook หรือ twitter เจ๊จงเป็นตัวแทนของ SME ที่ค้าขายด้วยใจ จนทำให้เจ๊จงกลายเป็นที่รู้จักของใครหลายๆ คน
ในตอนแรกที่เจ๊จงเริ่มทำธุรกิจร้านอาหารนั้น เจ๊จงเปิดขายร้านอาหารตามสั่งธรรมดา การเปิดร้านขายอาหารตามสั่งในวันแรก เรียกได้ว่าเจ๊จงไม่มีทุนในการซื้ออุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ แม้กระทั่งตะหลิวที่ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการขายอาหารตามสั่ง ต้องไปยืมเพื่อนบ้าน รวมถึงจาน ชาม ช้อม ส้อมด้วยเช่นกัน เมื่อในแต่ละวันขายอาหารได้พอมีกำไรเหลือก็ค่อยๆ นำไปซื้ออุปกรณ์ภายในร้านจนครบ ต่อมามีลูกค้าคนหนึ่งแนะนำให้ทำข้าวแกงแบบบุฟเฟต์ในราคาต่อหัว 20 บาท พอลองมาทำตามคำแนะนำจริงๆ ก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นไปอีก นี่คือการพัฒนาตัวเองส่วนที่หนึ่งของเจ๊จง จากร้านอาหารตามสั่ง เป็นข้าวแกงแบบบุฟเฟต์
............................
สร้างโอกาส&พัฒนาสินค้าให้เป็นแบรนด์
“ในช่วงที่เรามาขายอาหารตามสั่ง และทำเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ก็ขายดี แต่รายได้ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้หนี้ได้หมด จึงคิดว่าในช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยง ไปถึง 2 ทุ่มที่เป็นเวลาเข้านอนเพื่อเตรียมขายอาหารในตอนเช้า ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงจึงคิดอยากทำอะไรขาย เพื่อไม่ต้องการให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ”
วันหนึ่งในขณะที่เจ๊จงไปส่งลูกสาวเรียนที่โรงเรียนและกำลังซื้ออาหารเช้า ก็เผอิญไปซื้อหมูทอดที่ขายในตลาดกล่องละ 10 บาทเป็นหมูทอดชิ้นเล็กๆ บางๆ ให้มาอยู่ 4 ชิ้น เจ๊จงจึงบอกลูกสาวว่า “หมูทอดอย่างนี้แม่ก็ทำได้ อร่อยกว่าด้วย” จึงเป็นที่มาของการพัฒนาส่วนที่สองว่าเราเองก็สามารถทำหมูทอดได้ และเชื่อว่าสามารถขายในราคาที่ถูกกว่าตลาดได้อีกด้วย ว่าแล้ววันรุ่งขึ้นเจ๊จงก็เลยไปซื้อหมูสามชั้นมาหมัก ชุบแป้งทอดแล้วทอดขายให้ลูกค้าที่ร้านทานในช่วงบ่ายหลังจากที่ข้าวราดแกงบุฟเฟต์นั้นขายหมดในตอนเที่ยง ถือเป็นการทดลองตลาดและหายรายได้เพิ่มไปในตัว
แต่กว่าที่ “หมูทอดเจ๊จง” จะออกมารสชาติกลมกล่อม เป็นที่ถูกอกถูกใจของทุกคนได้นั้น เจ๊จงก็ได้ทำการเปลี่ยนส่วนผสม วิธีการทำและอื่นๆ อีกมากมาย ทดลองรสชาติต่างๆ พัฒนาจนกระทั่งได้สูตรที่ลงตัว แต่เมื่อคิดจะทำขายเจ๊จงบอกว่าไม่ต้องการให้เป็นหมูทอดที่มีอยู่ทั่วไป จึงนำหมูสามชั้นมาหั่นให้บาง เพื่อให้เหลือน้ำมันหมูไม่มากนัก ชุบแป้ง และทอดให้กรอบ เพื่อนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ เจ๊จงคิดว่าทำในรูปแบบนี้น่าจะสามารถขายได้ ผลลัพธ์ปรากฎว่า ผลตอบรับดีเกินคาด ลูกค้าต่างชอบใจในหมูทอดของเจ๊จง และมาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจ๊จงจะทอดหมูขาย เพราะลูกค้าไม่ต้องการรอจนกว่าจะขายข้าวราดแกงหมด
จากวันแรกที่ซื้อหมูสามชั้นมา 8 กก. ก็ขายหมด จึงเกิดกำลังใจ วันที่สองเพิ่มเป็น 20 กก. ก็ขายหมดอีก จนวันที่สามเพิ่มเป็น 50 กก. จนกระทั่งในช่วงเดือนแรกที่ขายข้าวหมูทอดใช้หมูตกประมาณวันละ 80 กก. กลายเป็นว่าหมูทอดเริ่มเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่าผลิตภัณฑ์เก่าอย่างข้าวแกงบุฟเฟต์เสียแล้ว แต่เจ๊จงก็ยังไม่ได้นำหมูทอดมาเป็นผลิตภัณฑ์หลักแต่ประการใด จนในที่สุดมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้เจ๊จงต้องย้ายร้านมาอยู่ที่ร้านปัจจุบัน (หลังเทสโก้โลตัส พระราม 4) ทำให้เจ๊จงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เลิกขายข้าวแกงบุฟเฟต์และหันมาขายหมูทอดเป็นหลัก
ในปัจจุบันเจ๊จงใช้หมูวันละ 160-180 กก. ในการทำ “หมูทอดเจ๊จง” ที่มาของความอร่อยอย่างลงตัวนั้น มาจากการให้ความสำคัญของวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร เจ๊จงกล่าวว่า “เจ๊จะคัดหมูที่มีคุณภาพ คือสั่งจากร้านประจำ ถ้าไม่ดี เราด่ามันได้ ใช้หมูขาหลัง เนื้อจะออกเป็นสีชมพูหน่อยๆ เวลาทอดจะนุ่ม แต่ถ้าคนที่ชอบกินติดมัน เวลากินเข้าไปมันจะสุดยอด อร่อยไม่อร่อยก็ดูกันเอาเอง”
............................
สร้างจุดเด่น หาความแตกต่าง
นอกจากจะมีหมูทอดที่รสชาติอร่อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกของการเปิดร้าน ที่ร้านของเจ๊จงก็มีบริการ “เติมข้าวฟรีไม่อั้น” เพื่อเอาใจลูกค้า ที่สำคัญคือ ราคาถูกมาก (ถ้าเทียบกับร้านอื่น) เนื่องจากราคาเริ่มต้นสำหรับขายเป็นถุงนั้นเพียง 17 บาทเท่านั้น (ข้าวสวยพร้อมหมูทอด) กลยุทธ์ฟรีไม่อั้นของเจ๊จงนั้นอาจจะดูเหมือนไม่มีกำไร หรือทำกำไรให้ธุรกิจได้น้อย แต่หากลองคิดดูดีๆ แล้วจะพบว่า ลูกค้าเหล่านี้จะมาซื้อสินค้าของเจ๊จงแทบทุกวัน และยังเกิดการบอกต่อกันอีกด้วย ว่ามาทานอาหารทีนี่เพราะรสชาติดีและคุ้ม จึงไม่น่าแปลกใจ หากเราไปที่ร้านเจ๊จงทีไร จะพบว่ามีลูกค้าต่อคิวเพื่อทานอาหารหรือซื้อกลับใส่กล่องไป กำไรที่คิดว่าน้อยจึงไม่น้อยอีกต่อไป เนื่องจากลูกค้ามีการซื้ออย่างสม่ำเสมอ
แม้ลูกค้าจะมีเยอะอยู่แล้วเจ๊จงก็ไม่หยุดการคิดการพัฒนาเพียงเท่านี้ เจ๊จงได้คิดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาทดลองใช้มากมาย เช่น เพิ่มบริการส่งถึงที่(เดลิเวอรี่) โดยเฉพาะกับลูกค้าที่ต้องการสั่งอาหารเป็นจำนวนมาก ต้องการความคุ้มค่า รวมถึงรสชาติที่อร่อยเหมือนมาทานที่ร้าน หรืออย่างการขยายร้านเพิ่มเติมเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มเดิมและลูกค้ากลุ่มใหม่ให้สามารถนั่งในร้านได้มากขึ้น เป็นต้น
ประโยคที่ถือว่าเป็นตัวแทนของร้านหมูทอด เจ๊จง ได้เป็นอย่างดีคือ "อิ่มอร่อยกับข้าวหมูทอดและอีกหลากหลายเมนูในราคาประหยัด เติมข้าวและผักได้ไม่อั้น"
............................
ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพิ่มโอกาสการค้า
ธุรกิจของเจ๊จงเป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าออฟไลน์ขนานแท้ แต่ด้วยความเป็นแม่ค้าที่มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เจ๊จงเปิดตัวเองด้วยการออกรายการ SME ตีแตก เพื่อเสนอความคิดความอ่านของตัวเอง และให้กูรูช่วยวิเคราะห์ให้ธุรกิจของตนก้าวหน้าขึ้นได้อีก ไม่เพียงเท่านั้น เจ๊จงก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วยการทำเว็บไซต์http://jehjong.com/ เว็บไซต์ที่ทำได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาไม่นานจากโครงการ ธุรกิจไทย โก ออนไลน์ และแน่นอนว่าเว็บไซต์ของเจ๊จงก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายในเวลาต่อมา รวมไปถึงการที่เจ๊จงยังเปิดตัวเข้าสู่โลกของโซเชียลมีเดียอย่าง facebook https://www.facebook.com/JehJongและ twitter อีกด้วย http://twitter.com/jehjong การพัฒนาในส่วนนี้ทำให้เจ๊จงสามารถเข้าถึงได้ทั้งลูกค้าออฟไลน์และออนไลน์
.................................
จากคนที่เคยเดินทางมาถึงจุดต่ำสุดในชีวิต แต่กลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้นั้น เจ๊จงบอกว่ากำลังใจจากครอบครัวและความอดทนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากไม่มีกำลังใจดังกล่าว ก็คงไม่มีข้าวหมูทอดรสชาติอร่อย ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยได้อิ่มท้อง นอกจากเจ๊จงจะเป็นคนที่ลุกขึ้นมาสู้ได้อีกครั้งแล้ว ยังถือได้ว่าเจ๊จงเป็นแม่ค้า SME ที่ไม่เคยหยุดคิด ที่จะพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองเลย
.................................
บทความจาก : incquity.com




Line ID : 0816748606

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขายของไม่ได้ทำไง?

ทำไง ทำยังไง แล้วจะให้ทำอะไรอีก?


   ปัญหาโลกแตกที่มีแต่คนตั้งคำถาม และคนเหล่านั้นนั่นเองที่ไม่เคยพยายามค้นหาคำตอบ รอความหวัง รอปาฎิหารย์ รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอคนมาช่วย รอ รอ รอ รอไปเหอะ ไม่มีใครช่วยได้หรอกนะถ้าคุณไม่เริ่มช่วยเหลือตัวเองก่อน บางคนถึงขั้นจุดธูปขอพรให้ช่วยขายดี แต่ไม่เคยทำบุญเลย พระท่านจะรู้จักคุณมั๊ย? ต้องทำบุญเป็นประจำการขอถึงจะส่งผลเร็วขึ้น 
   เหมือนกันกับที่คุณขายของนั่นแหล่ะ ถ้าคิดว่าแค่เปิดหน้าร้านมีสินค้ามาวางแล้วของจะขายได้ดี ไม่มีทางนอกจากสินค้าจะเจ๊งจริงๆ อยากขายได้คุณต้องโฆษณาพูดถึงสินค้าคุณบ่อยๆ บอกให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าคุณมีดีอะไร ซื้อไปแล้วคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปรึเปล่า ทำแบบนี้จากคนแค่เดินผ่านยังไงเค้าต้องเข้ามาในร้านหยิบสินค้าขึ้นดูสักชิ้นบ้างหล่ะ
   ถ้าถามว่าการขายคืออะไร ตอบแบบบ้านๆการขายก็คือการทำให้คนมาซื้อของคุณ และถ้าจะให้ขายดีต้องทำให้ซื้อหลายคนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่บังคับใส่มือเค้าให้เค้าซื้อแล้วเจอกันทีเดียวจบ เมื่อไม่มีการซื้อต่อเนื่องก็จะไม่มีการบอกต่อ ซึ่งไอ้การบอกต่อเนี้ยะคือการโฆษณาที่ดีที่สุดเลยทีเดียว บอกอย่างนี้แล้วก็ต้องมีคำถามอีกว่า "ทำยังไง" เก่งจริงทำให้ดูหน่อยสิ อืม!!สินค้าก็ของคุณ ร้านก็ของคุณ รายได้ที่จะได้ก็ของคุณ ยังจะหวังคนอื่นอีก เริ่มทำที่ตัวคุณสิ จะขายอะไรต้องรู้จักสิ่งนั้นให้ดีเสียก่อน เพราะผู้บริโภคแทบจะทุกรายย่อมมีคำถามเกี่ยวกับของที่คุณขายแน่นอนก่อนที่เค้าตัดสินใจซื้อ และแน่นอนว่าเค้าจะไม่มีทางสนใจสินค้าคุณถ้าพวกเค้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร มีประโยชน์กับเค้ายังไง
   

     
   น้ำส้ม 2 แก้วนี้วางโชว์อยู่ในตู้แช่เดียวกัน ภาชนะที่บรรจุเหมือนกันปริมาณเท่ากัน รสชาติเหมือนกัน ราคาเดียวกัน เป็นคุณจะเลือกหยิบแก้วไหน บนหรือล่าง ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ แค่อยากจะบอกว่าบรรจุภัณฑ์ก็เป็นส่วนช่วยขายสินค้าเหมือนกัน บางคนขายเสื้อผ้าสวยเชียวแต่พอเห็นถุงใส่เอาถุงหิ้วธรรมดามาทำให้เสื้อสวยหมองเลย ลงทุนหาถุงสวยๆมาใส่ก็ได้ เป็นคนขายไม่จำเป็นต้องหวังกำไรมาก แต่ขอให้สินค้าขายได้จำนวนมากนั่นถึงจะเรียกว่า "ขายดี
   การหาคนช่วยกระจายสินค้า ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้สินค้าขายได้จำนวนมาก สมมุติน้ำส้มได้กำไรแก้วละ 3 บาท คุณต้องการขายให้ได้ 100 แก้วเพื่อให้ได้กำไร 300 บาท คงจะนานเลยเนอะกว่าจะหมด 100 แก้ว แต่ถ้าคุณยอมลดกำไรลงสักหน่อย แบ่งน้ำส้มให้คน 100 คนไปขายโดยให้ค่าขายแก้วละ 1 บาท ไม่ต้องไปเหนื่อยนั่งขาย เดินขายแต่ได้กำไร 200 บาท แล้วเชื่อเถอะว่า 100 คนนั้นเค้าคงไม่ได้ขายแค่คนละขวดแน่ แววอาเฮีย อาซ้อจับล่ะที่นี้
   เหนือสิ่งอื่นใดการที่เราจะขายสินค้าอะไรก็ตาม เราต้องสร้างสิ่งนึงให้เกิดขึ้นกับลูกค้าหรือผู้สนใจให้ได้ สิ่งนั้นคือ "ความเชื่อใจ" คนเราถ้าไม่ไว้ใจกันแล้ว ต่อให้สินค้าดีมีคุณภาพขายถูกกว่าชาวบ้านบางทีคนก็ไม่ซื้อนะ อยากได้ใจคนต้องให้ใจเค้าก่อน ซื่อสัตย์ ไม่โกง มีแต่พัฒนาไม่เอาเปรียบลูกค้า เจอกันครั้งแรกประทับใจยังไง เจอกันครั้งต่อไปต้องสร้างความประทับใจเพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าคุณอยากขายของออนไลน์ด้วยแล้วข้อนี้ถือว่าขาดไม่ได้เลย เพราะต้องขายของให้คนที่ไม่เห็นหน้ากัน ไม่รู้จักกันมาก่อน ต้องสร้างตัวตน ต้องทำมากกว่าเป็น 2 เท่า

   สุดท้ายที่อยากจะบอกคือ อะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามันจะทำไม่ได้ แต่เราอาจจะไม่เคยทำ หรือทำยังไม่พอ ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญ อุปสรรคเป็นเพียงบททดสอบคนที่ไม่ย้อท้อ ขอแค่อย่ายอมแพ้ "คำว่าจนไม่ได้มีไว้ใช้กับคนขยัน" ขอให้ทุกท่านโชคดี




http://www.p-seangthong.ws/

Line ID : 0816748606

https://www.facebook.com/GDI.Prosective