วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด

การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด

    ผมคิดว่าท่านที่ติดตามบทความผมอยู่น่าจะเริ่มเป็นนักธุรกิจกันหมดแล้ว หรือว่ายังมีใครกลัวที่จะทำธุรกิจอีกรึเปล่า เลิกหาข้ออ้างมาสนับสนุนความกลัวของตัวเองได้แล้วนะ ผมจะวางแผนให้ท่านเป็นข้อๆเพื่อง่ายต่อการเข้าใจนะครับ

1. สร้างจุดแข็งให้กับธุรกิจ

    ทุกคนล้วนต่างมีจุดแข็งในตัวเองโดยทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าคุณจะนำจุดแข็งอะไรมาสู้ในธุรกิจคุณ ไม่ว่าจะเป็น location ของที่ตั้ง ลักษณะพิเศษของธุรกิจ
    เริ่มหาจุดแข็งจากแนวคิด     - ธุรกิจสำเร็จไม่ได้ถ้าปราศจากการวางแผน
                                             - แผนกลยุทธ์ บอกถึงจุดแข็ง/เทคนิค/ข้อได้เปรียบ (บอกถึงจุดที่คู่แข่งไม่มี)
                                             - ยุทธวิธี แผนย่อย ซอยแผนออกเป็นระยะ ให้เหมาะสมกับเวลาและส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง
                                             - เริ่มแผนที่ท่านวางไว้ตั้งแต่วันนี้ คิดแล้วต้องลงมือทำ
    แผนกลยุทธ์ที่ดีนั้น ควรดูจากคนสำเร็จมาก่อนหน้าเรา ดูแล้วนำมาเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ลอกแบบเค้าทำตามทุกอย่าง เพราะท่านไม่สามารถเดินตามเค้าได้ทุกก้าวหลอก ดึงออกมาเฉพาะแนวคิดและบางวิธีการ เพื่อปรับใช้กับธุรกิจเรานั่นเอง

2. วางฐานรากธุรกิจด้วยบันได 7 ขั้น

   ผมบอกไว้ข้างต้นแล้วว่า การวางแผนนั้นสำคัญที่สุดในทางธุรกิจ เพราะถ้าแผนไม่ดีเสมือนฐานรากที่ไม่แข็งแรง ธุรกิจอาจจะล่มได้ เลยต้องออกแบบให้เป็นขั้น เป็นตอน คุณจะเห็นอนาคตของธุรกิจคุณเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่การวางแผนธุรกิจ ลองมาดูว่าแต่ละขั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

       ขั้นที่ 1 วิศัยทัศน์ สิ่งแรกที่คุณต้องประเมิณตัวเองเลยว่า คุณคิดอย่างไรกับธุรกิจของคุณ เราควรจะมองอนาคตของธุรกิจไว้ล่วงหน้า แต่ต้องมองในสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ใช่สร้างความหวังที่เอื้อมไม่ถึงเพราะไม่เช่นนั้นมันจะเป็นเพียง "ฝันเฟื่องไปวันๆ" อย่าลืมว่าคนเรา รวยจนไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมี 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน เริ่มจากสร้างถนนให้ตัวเองเดิน เราจะรู้ว่าเราควรเดินไปทิศทางใด
      ขั้นที่ 2 กำหนดเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายนั้น จะต้องตั้งให้สั้นและรวดเร็ว เพราะช่วงเริ่มเรารอช้าไม่ได้ ถ้าเป้าหมายไม่ชัดเจนทำให้ชัดเจนซะ ถ้าคนที่เรานำมาเป็นแบบอย่างดูแล้วไม่เหมาะกับธุรกิจเราเปลี่ยน พอเจอเป้าหมายที่ดี ผู้นำที่ดี ถึงค่อยชะลอยืดเวลาของเป้าหมายให้ใช้เวลานานขึ้น อย่างเช่น ต้องมีเงิน 1 ล้านภายใน 1 ปี ถ้ามีทุน 1 หมื่น ฝากธนาคารปีนึงก็ไม่ถึงล้าน งั้นลองหาดูสิว่า มันมีธุรกิจอะไรที่ลงทุนน้อย กำไรมาก ความเสี่ยงน้อยสุด มีนะหลายอย่างด้วยลองหาดู
       ขั้นที่ 3 แรงขับเคลื่อนธุรกิจ อันนี้ไม่ต้องอธิบายให้มากความเลย เพราะมันมีคำตอบในตัว คือ คุณแค่หาว่าอะไรเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้ธุรกิจของคุณสำเร็จได้เร็วที่สุด เราจะได้รู้ว่าธุรกิจของเรามีระบบการทำงานอย่างไร ขาดตัวใดแล้วทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปไม่ได้ ในที่สุดเราก็จะรู้เองว่าอะไรที่สำคัญกับธุรกิจเราที่สุด
         ขั้นที่ 4 ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เมื่อรู้แล้วว่าอะไรคือตัวขับเคลื่อนธุรกิจ เราก็จะรู้ว่าสิ่งใดที่จะทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ ต้องขออนุญาตยกตัวอย่างจากธุรกิจที่ทำเพราะจะอธิบายชัดเจนที่สุด ธุรกิจผมไม่ได้ออกไปขายสินค้า ได้แต่นั่งทำการตลาดสิ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนก็คือการโปรโมท การโฆษณา และปัจจัยที่จะทำให้จบการขาย คือการใช้เมล์เพื่อติดตามผู้สนใจ คราวนี้ก็ต้องมาคิดสิว่า ทำยังไงให้เกิดความเชื่อใจและซื้อสินค้าให้จบด้วยเมล์ 14 ฉบับ อะไรประมาณนี้
         ขั้นที่ 5 กำหนดแผนกลยุทธ เมื่อเรากำหนดภาพรวมธุรกิจได้แล้ว เราก็จะมาวางกลยุทธย่อยๆได้ เช่น คุณมีร้านค้าล่ะ แต่จะทำอย่างไรให้หน้าร้านของคุณมีคนเข้ามาเยี่ยมชมเยอะๆ เพราะคนมาหน้าร้านมากเท่าไหร่โอกาสที่สินค้าคุณจะขายได้ก็มีมากขึ้นไปด้วย คราวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่คุณจะมีกลยุทธอะไรที่ทำให้เค้าเดินเข้ามาซื้อสินค้าให้ได้มากที่สุด
          ขั้นที่ 6 ริเริ่มลงมือทำ เหมือนที่ผมมานั่งเขียนบทความเหล่านี้ ถ้าผมมัวแต่อ่าน มัวแต่คิดว่าจะเขียนยังไง ไอ้ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าช่วงแรกเริ่มจะต้องเขียนบทความ อย่างน้อย 3 บทความต่อ 1 อาทิตย์ และเมื่อครบ 1 เดือนถึงจะมาจัดหน้าบล๊อกบทความ ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำไร้สาระ เพราะมันต้องมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
        ขั้นที่ 7 สรุปผลลัพธ์ ประเมิณผลจากทุกอย่างที่ทำมา แล้วมาวิเคราะห์ผลดี ผลเสีย เพื่อปรับแก้ข้อด้อยของธุรกิจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ 100% สำหรับการตลาด เพราะเมื่อใดที่หยุดทำการตลาดธุรกิจของคุณก็กำลังจะจบลงเช่นกัน

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ทำอยู่ ขอบคุณครับ

http://www.p-seangthong.ws/


Facebook : Pattapron Seangthong

ID Line : 0816748606

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่นักการตลาดควรรู้

7 พฤติกรรมของผู้บริโภค
   
   

  ในวาระที่ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ฉลองครบรอบ 22 ปี อีเวนต์เอเจนซี่อันดับ 1 ของประเทศไทย ได้
จัดงานสัมนา ICV TURN ON 2013 โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจจาก คุณ สรินพร จิวานันท์ กรรมการผู้จัดการ
บริษัท เอ็นไวรอเซลล์ ประเทศไทย จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ได้เปิดเผยให้
เห็นถึงนิสัยของผู้บริโภคคนไทย ที่เกิดขึ้นจริงและต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยได้แบ่งไว้ 7 ข้อด้วย
กันดังนี้

    1. ขอเกาะกระแสไว้ก่อน
      คุณ สรินพร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการทำตัวให้อยู่ในกระแสซึ่งเป็นพฟติกรรมที่อยู่ใน DNA ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และในปัจจุบันยังมีสิ่งที่ออกมายั่วใจอีก ทั้งสมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย ต่างๆที่ดึงดูดให้คนตามกระแสได้ง่าย

    2. เชื่อคนอื่น
      คนเราปัจจุบันจะเชื่อคนรอบตัวก่อน ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือเพื่อนสนิท จากการศึกษาพฤติกรรมจากผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงคนไทยด้วยจะเห็นได้ว่า  ปัจจุบันนี้ก่อนที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้าจะมีการค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต สินค้าที่ทำยอดจากภาพยนตร์โฆษณานั้นมียอดลดลงเหลือเพียง 47%  ขณะที่มีการเชื่อถือแบบปากต่อปากมีมากถึง 97% และที่ตามมาติดๆคือโลกออนไลน์นี่เอง ไม่ว่าจะเป็นการดูทีวีออนไลน์ ท่องอินเตอร์เน็ต หรือ ชอปออนไลน์โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 67-81%เลยทีเดียว
  
    3. ของดีต้องแบ่งปัน
      โดยส่วนใหญ่คอนเทนต์ที่คนนิยมแชร์ จะมีอยู่ 4 ลักษณะ
    * ดูแล้วชอบ
    * เมื่อนำมาแชร์บนโซเชียลมีเดีย แล้วทำให้คนแชร์ดูดี
    * คอนเทนต์ที่แชร์แล้วมีประโยชน์กับผู้แชร์หรือเพื่อน
    * มีประโยชน์กับสังคม

    4. ไม่เคยทนรอ
      ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันไม่เคยอดทนรออะไรได้ โดยเฉพาะกับลูกค้าธนาคารที่ต้องมารอทำธุรกรรมจะมีความรู้สึกว่าตัวเอง รอคิวนานกว่าปกติ เช่นรอ 1 นาที ก็คิดว่ารอมาแล้ว 5 นาที จึงทำให้ธนาคารเกิดบริการ Internet Banking และ ตู้โอนเงิน ฝากเงินอัตโนมัติ รองรับความต้องการของผู้บริโภคตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนถึงบริการ Fingerprint Payment  ที่เพียงแค่รูดนิ้วก็สามารนถยืนยันการชำระค่าสินค้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นใช้งานใน สหรัฐอเมริกาและยุโรปบางประเทศ

    5. คนขี้เกียจคิด
      ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารพรั่งพรู พร้อมที่จะไหลเข้ามาสู่ผู้บริโภค แถมข้อมูลยังหาง่ายซะด้วย อีกอย่างปัจจุบันคนเรามีกิจกรรมเยอะขึ้นเพราะต้องแข่งขันกันในสังคม จึงต้องมีผู้ผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการได้ โดยที่ประหยัดเวลาที่สุด เช่น โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องที่ทำได้ทุกอย่าง นอกจากโทรเข้าโทรออก ถ่ายรูปสวย ประมวลผลการออกกำลังกาย จับคลื่นหัวใจ แปลภาษาด้วยเสียง เอาเป็นว่าทุกอย่างเท่าที่จะสรรค์สร้างมาสนองความต้องการได้
   
    6. นั่งหน้าจอก็ชอปได้
      ศักยภาพของโลกยุคโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าจับตาของผู้ค้าโดยทั่วไป แต่การที่จะเอากลวิธีอะไรมาดึงดูดผู้บริโภคนี่สิที่น่าติดตาม เพราะเมื่อความต้องการในตลาดมากย่อมเกิดการแข่งขันสูง ยุคนี้ไม่ว่าห้างใหญ่ห้างเล็ก ก้ได้นำสินค้าของตัวเองมาเปิดตลาดออนไลน์กันแล้ว เพราะผู้บริโภคไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปเลือกซื้อ เพียงแต่อยู่ที่บ้าน หรือ ที่ทำงานก็ชอปได้สะดวกสบาย มีตัวอย่างห้างเทสโก้ที่เกาหลี เค้านำป้ายโฆษณาสินค้ามาตั้งโชว์ตามสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้า และชำระเงินได้เพียงใช้มือถือก็ชอปปิ้งได้เลย นี่เป็นการปรับตัวแนวใหม่เพื่อผู้บริโภค

     7. ดีล ดีๆของคนงก
       เว็บไซต์ดีลมีมากขึ้นในตลาดอีคอมเมริ์ซ และเพิ่มขึ้นทุกวัน หรือแม้กระทั่งการเดินชอปปิ้งก็ยังสามารถเชิญชวนให้เข้าเว็บไซต์ การสแกนบาร์โค้ดเพื่อเทียบราคาสินค้ากับท้องตลาดได้เลย พฤติกรรมนี้ยังทำให้เกิดการตลาด เรียล-ไทม์ ที่เรียกว่า Location-Based คือผู้บริโภคเปิดหาร้านค้าหรือบริการแล้ว สถานที่ไหนดีลดีกว่าก็เข้าใช้บริการที่นั่นได้เลย
        สิ่งที่นักการตลาดควรเรียนรู้จากพฤติกรรมนี้ คือ ถ้าสินค้าไม่มีความแตกต่างกันมาก ลูกค้าหรือผู้บริโภคก็จะวิ่งไปซื้อตามดีลที่ดีกว่า ดังนั้นถ้ามั่นใจว่าสินค้าหรือบริการมีความโดดเด่น ควรต้องดึงตรงนั้นมาเล่น เพื่อสร้างความชัดเจน ถ้าหาข้อแตกต่างไม่ได้ก็นำ Location-Based มาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ และใช้โปรโมรชั่นเพื่อดึงลูกค้าเก่าไว้

                          







ID Line : 0816748606

















วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เริ่มธุรกิจออนไลน์ให้มีรายได้เป็นแสน

เริ่มต้นธุรกิจ
   ไม่ว่าจะออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ ผมว่ามันก็คล้ายๆกัน บทความที่แล้วเรารู้จักความกลัวและวิธีการต่อสู้กับมันไปแล้ว ที่นี้เราต้องมาเรียนรู้การเริ่มต้นธุรกิจบ้าง แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่ามันเป็นเพียงแนวคิด คุณอาจจะเลือกไม่เชื่อผมก็ได้ เพราะการทำธุรกิจ Common Sense ของเจ้าของกิจการจะเป็นตัวนำ 
     หลังจากที่เราวางแผนแล้วว่า จะทำอะไรดีบนโลกออนไลน์ เราก็ศึกษาต้นแบบจากผู้ที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจนั้นๆ ว่าเค้าเหล่านั้นมีแนวคิดอย่างไร เดินตามรอยคนที่สำเร็จโอกาสที่จะเจ็บตัวจากการเริ่มต้นก็น้อย เลือกดูหลายๆตัวอย่างอย่าเจาะจงไปที่ตัวอย่างเดียว เพราะทำตามเค้ายังไงคุณก็ไม่มีทางเหมือนเค้าหรอก เพียงแค่ขโมยแนวคิดเค้ามาใช้ แล้วบวกเข้ากับความรู้สึกของคุณ แค่นี้มันก็จะกลายเป็นธุรกิจของคุณ ( ทุกคนล้วนมีข้อเสีย เลือกเอาแต่สิ่งดีๆเพื่อมาลดข้อเสียตัวเอง )

มันไม่จำเป็น ต้องเหมือนคนอื่น
      ถ้าผมถามคุณว่า ผมมีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อขนมไป 3 บาท ผมจะได้เงินทอนเท่าไหร่?
ให้เวลาคิด 3 สัปดาห์ มันนานไปมั๊ย คำตอบในข้อนี้ มีหลายคำตอบเลยครับ ตามแต่ใครจะคิดยังไง แต่คำตอบที่ดูจะเป็นมาตราฐานที่แว๊บแรก หลุดออกมาเลย คือ 7 บาท
      แต่ทำไมต้องเป็น 7 บาท ผมเลือกที่จะไม่ทอนก็ได้ ในเมื่อในเงิน 10 บาท ผมไม่ได้บอกว่าผมมีเหรียญ 10 บาท ผมเอาเหรียญบาทซื้อก็ได้ หรือ ผมเลือกที่จะไม่ซื้อก็ได้ นี่แหล่ะครับตัวอย่าง ที่ว่ามันจำเป็นมั๊ยที่ต้องคิดเหมือนคนอื่น
      ในการเริ่มธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณเริ่มจากการคิดต่าง สินค้าหรืออะไรก็ตามที่คุณนำเสนอ มันจะได้รับความสนใจมากกว่าคนอื่น แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงด้วย ยกตัวอย่างเช่น คุณจะขายยาสีฟัน แค่เริ่มคิดคู่แข่งคุณก็เพียบแหล่ะ คู่แข่งที่ไม่ยอมหลับยอมนอน ก็ 7-11 ที่เดียวก็ยาก ใหญ่กว่าที่เค้าลงมาเล่นออนไลน์ก็อย่าง Big-C , Lotus , รู้อย่างนี้แล้วถ้ามัวไปขายยี่ห้อ หรือสรรพคุณตามท้องตลาดก็ต้องเหนื่อยเป็นเท่าตัว แต่ถ้าฉีกตัวออกมาเล่นสินค้าตัวเดียวเน้นๆ เราจะทำง่ายกว่า เช่น ยาสีฟันที่ใช้เพียงครั้งเดียวฟันขาววิ้ง ที่ชื่อผลิตภัณฑ์เก๋ๆ รีวิวลูกค้าที่มองแล้วต้อง เฮ้ย!!จริงเหรอ
      รึจะโดดมาเล่นกับคำโฆษณา  ที่เอายี่ห้อตลาดๆนี่แหล่ะแต่มาเล่นคำให้ดูน่าสนใจ เข้าถึงได้ง่าย เช่น "ซอลส์เค็มแต่ดี ส่วนเมียพี่ดี๊ดีแต่เค็ม" หรือ "ถ้าปากไม่เหม็นนัก พี่จะรักนะเด็กโง่"นี่แค่ตัวอย่าง แต่ทำออกมาจริงๆคุณต้องคิดมากกว่านี้
      ผมบอกเคล็ดลับให้เอามั๊ย ยอดสั่งซื้อของออนไลน์นั้น มาจากต่างจังหวัดถึงร้อยละ 80 เลยนะ และเค้าต้องการหาซื้ออะไรที่ต่างจังหวัดไม่มีขาย บอกให้แค่เนี้ยะที่เหลือมันขึ้นอยู่กับไอเดียของคุณ คุณต้องคิดเอาเอง

แล้วรายได้หลายแสนมันมายังไง
    ทุกคนที่ก้าวเข้ามาสู่โลกธุรกิจที่กว้างใหญ่ คุณพกความสามารถมาอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องพกความกล้ามาด้วย

* กล้าที่จะขายอะไรที่แตกต่าง
* กล้าที่จะขายอะไรที่หาซื้อได้ยากและหาไม่ได้ในตลาดทั่วไป
* กล้าที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภค ( ความต้องการ+ราคา )
    ดังนั้นต้องกล้าคิด และกล้าคิดที่จะแตกต่าง พอเรามีสินค้าที่หาได้ยากแต่ความต้องการสูง ทีนี้การกำหนดราคาก็ขึ้นอยู่กับเรา กำไร 50-200 % มันไม่ใช่เรื่องยาก ที่เราควรคำนึงคือคุณภาพ มาตราฐานสินค้าถ้าทำไว้ดีออเดอร์ก็ไหลมาเรื่อยๆ 

     ทำอะไรที่ต้องไปแข่งกับของที่เค้าทำไว้ดีอยู่แล้ว คุณต้องใช้ทุนสูงเผลอๆคุณอาจล้มตั้งแต่เริ่ม อย่าทำให้ตัวเองท้อดีกว่า คิดต่างออกมาเล่นอะไรใหม่ๆแต่ความต้องการเดิมๆ คนที่รวยจากการคิดต่างก็มีเยอะ ตลาดออนไลน์เล็กๆที่มีลูกค้าเพียบอย่าง Facebook ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มที่ดี ธุรกิจบางตัวที่โตวันโตคืนก็เริ่มต้นจาก Facebook นี่แหล่ะ

     สำคัญสุดคำที่ว่า " ลูกค้าคือพระเจ้า " ยังใช้ได้ผลเสมอนะครับ วันไหนที่คุณทิ้งลูกค้า หรือ ไม่ให้ความสำคัญกับเค้า เค้าเหล่านั้นก็พร้อมจะทิ้งคุณเช่นกัน ลูกค้าสำคัญกว่าคู่แข่ง ลูกค้าทิ้งคุณได้ แต่คู่แข่งไม่เคยปล่อยให้คุณเหงาเลย แถมมีมาเพิ่มได้ตลอด คราวนี้รู้แล้วนะว่าควรจะรักษาอะไรไว้


http://www.p-seangthong.ws/

Facebook : Pattapron Seangthong

ID Line : 0816748606




วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำอย่างไรให้ตื่นจากฝันเพื่อสัมผัสธุรกิจให้เป็นจริง

    คนที่เริ่มต้นทำธุรกิจจะมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ เริ่มที่จะทำธุรกิจอย่างตั้งใจแน่วแน่ กับ อีกอย่างคือมัวแต่คิดฝันว่าธุรกิจของตนเองก้าวไกล แต่ก็เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝันเพราะไม่ลงมือปฎิบัติจริงสักที ซึ่งอย่างหลังเราเรียกว่า "ความกลัว" ไม่กล้าเริ่มที่จะลงมือ ความรู้ยังไม่พอขอศึกษาไปเรื่อยๆก่อน สะสมแต่ความรู้ วางแผนธุรกิจไว้เป็นร้อยๆแบบมีแต่แผนชั้นเลิศ แต่ไม่เคยนำแผนที่วางไว้มาลงมือปฎิบัติ เพื่อที่จะได้รู้ว่ามันใช้งานได้จริงรึเปล่า มีข้อบกพร่องที่ต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง พวกที่นอนคิดแต่ไม่ลงมือปฎิบัติ จำพวกนี้จะขาดแน่นอนอยู่อย่างนึงนั่นคือ "ประสบการณ์" ทำไมเราไม่ตื่นจากความฝันแล้วปลุกตัวเองให้มาสัมผัสกับธุรกิจที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง โลกไม่ได้โหดร้ายกับคนที่คิดอยากจะรวย แถมยังสรรเสริญที่ท่านรู้จักที่จะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นนั่นเอง

กระเทาะเปลือกความกลัว
  การที่คนเราจะทิ้งความฝัน แล้วเปลี่ยนตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ สำหรับคนที่มีความกลัวก็คงเป็นเรื่องที่ยากสักนิด วิธีที่เราจะขจัดความกลัวออกไปได้นั้น เราต้องรู้เสียก่อนว่าตัวเรากลัวอะไร เพื่อที่จะได้เริ่มต้นแก้ปัญหาที่มีอยู่ และเมื่อเราเจาะลงไปที่ปัญหาลึกๆแล้ว ก็จะพบว่าส่วนใหญ่คนที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจจะกลัวอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น กลัวการลงทุนสูง กลัวไม่คุ้มค่ากับการลงทุน กลัวธุรกิจเจ๊ง กลัวไม่ประสบความสำเร็จ (ขนาดมีวางแผนไว้แล้วยังกลัว) ซึ่งความกลัวที่กล่าวมาแล้วนั้นล้วนแต่เป็นความกลัวพื้นฐานสำหรับคนทีจะเริ่มธุรกิจ
    ถ้าอย่างนั้นลองย้อนถามกลับตัวเองสิว่า แล้วหลังจากนั้นหล่ะจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณไม่ลงมือทำ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าผลที่จะได้รับมันเป็นยังไง มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณกลัว ในทางกลับกันมันอาจจะสำเร็จอย่างที่คุณฝันไว้ก็ได้ ถามจริงๆนะครับว่า ตอนที่คุณฝันว่าธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จอย่างไร คุณเคยคิดบ้างรึเปล่าว่าเวลาที่ธุรกิจมีปัญหาคุณเตรียมที่จะแก้ปัญหามันยังไง? ผมว่าน้อยคนที่คิดจะวางแผนรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะคนทำธุรกิจส่วนใหญ่จะมองไปที่ผลกำไร จนลืมนึกถึงคำว่า "ขาดทุน" ไม่กล้าคิดเพราะกลัว รู้ว่าทำธุรกิจต้องมีกำไร ขาดทุน คิดเผื่อไว้บ้างก็ดีนะ
    อีกข้อที่ลืมไม่ได้ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับความกลัว คือ "ความเชื่อ" ซึ่งมีหลายรูปแบบตามแต่ใครจะจินตนาการออกมาได้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่เราจะวางความเชื่อไว้ตรงไหน ทำให้เราเชื่อเค้า หรือ ทำให้เค้าเชื่อเรา ในทางธุรกิจเราส่วนใหญ่เราจะมีความเชื่อ แต่ที่ยังกลัวคือไม่ยอมรับความเชื่อนั้น เลือกที่จะหลอกตัวเองเพื่อสร้างความกล้าที่จะทำธุรกิจ เช่น รู้ทั้งรู้ว่าขาดทุน เจ๊ง มันมีอยู่จริง แต่เลือกที่จะไม่รับรู้ไม่ยอมรับ ปล่อยให้ธํุรกิจดำเนินไป พอวันนึงได้สัมผัสกับการขาดทุนก้ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้เตรียมแผนรับมือกับปัญหาแบบนี้มาก่อน ตามมาด้วยธุรกิจเจ๊ง แต่ถ้าเรามีแผนวางไว้รับมือกับปัญหาคุณยังจะกลัวธุรกิจคุณเจ๊งอีกหรือไม่ 
    แต่การเริ่มต้น จะต้องเริ่มจากการที่เราลงมือทำเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าปัญหาอื่นๆจะมีอะไรบ้าง วางแผน ศึกษาข้อมูล ลงมือปฎิบัติ ประเมิณผลการทำงาน สูตรเริ่มต้นธุรกิจง่ายๆ

ความกลัวบอกอะไรเรา
    เมื่อเรารู้แล้วว่าเรากลัวอะไร ซึ่งแน่นอนความกลัวนั้นจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต แทนที่จะมัวกลัวว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นยังไง เราเอาเวลาส่วนที่ไปคิดตรงนั้นมาคิดที่จะเตรียมรับมือมันยังไงดีกว่า เปลี่ยนมุมมองที่ทำให้เกิดความกลัว มามองในมุมดีๆสร้างบรรยากาศให้กับธุรกิจที่เราจะทำจะดีกว่า อย่างที่เค้าบอกกัน เวลาที่เรามีความคิดดีๆ สมองมันจะรังสรรค์สิ่งบรรเจิด ให้เกิดกับตัวเรา อย่าไปหมกมุ่นกับปัญหาให้มากเกินไป "สติมีปัญญาเกิด เชื่อไว้เถิดจะเกิดผล"

เริ่มออกเดินทีละก้าว
    โดยปกติแล้วการเคลื่อนตัวไปข้างหน้า คนเราวิ่งจะเร็วกว่าแต่เวลาล้มโอกาสเจ็บตัวก็สูงกว่าและรุุนแรงกว่าเช่นกัน เปรียบกับการที่เราเดินช้าๆสะดุดขึ้นมาก็ยังทรงตัวได้ เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ เมื่อเราออกตัวแรงลงทุนเยอะ เวลาที่ประสบปัญหาการขาดทุนมันก็จะทำให้เราหมดเงินมากขึ้นไปด้วย สืบเนื่องจากความกลัวเมื่อกลัวกับการขาดทุนมหาศาล ก็ลองเปลี่ยนวิธีคิด เป้าหมายของเราตั้งไว้ใหญ่เท่าเดิมแหล่ะ (สูตรนี้ใช้กับคนกล้าไม่ได้นะ เพราะถ้าเค้ากล้า เค้ายอมเสี่ยงทุกอย่างอยู่เเล้ว)  แต่ซอยเป้าหมายให้เป็นลำดับ เหมือนก่อสร้างอาคารต้องเริ่มจากวางฐานราก  แล้วจึงสร้างชั้นที่ 1 ที่2 ตามลำดับ ธุรกิจเราเองก็เช่นกัน ถ้าซอยเป้าหมายไว้เป็นลำดับขั้นแล้ว เวลาที่ประสบปัญหามันก็จะเจอกับปัญหาที่เล็กลง แก้ไขง่ายขึ้น เป้าหมายขั้นที่1 สำเร็จ เราเริ่มลงมือสร้างเป้าหมายที่ 2 
     ทำอย่างนี้แล้วเราก็ไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน แถมไปได้อย่างมั่นคง ไม่ต้องกลัวลื่นหรือล้ม เพราะยังไงก็ทรงตัวอยู่ และยังได้รู้จักการแก้ปัญหาเป็นขั้น เป็นตอนอีกด้วย
     แต่ถ้ากลัวว่าวิธีคิดนี้มันช้าไป ตัวเราอาจหมดไฟไปซะก่อน ก็ลองหาแนวทางอื่นๆดูบ้างก็ได้ เช่นการกดดันตัวเอง กำหนดกรอบเวลาในการมุ่งไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จ แต่อย่ากดดันมากเกินไปจนเวลาทำไม่ได้ขึ้นมาก่อให้เกิดความกังวลอีก


เชื่อมั่นว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
    ในบางครั้งไม่ว่าจะหาข้อมูล หรือ ทดลองมาดีสักแค่ไหนก็ไม่อาจหาตัวเลือกที่เหมาะสมได้ ลองหันกลับมาใช้สัญชาตญาณในตัวเอง ปลุกความเชื่อมั่นในตัวดูสักครั้ง มองแง่มุมดีๆสร้างความเชื่อว่าเราทำได้ และใช้สติทบทวนว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าหากเครียดมากๆก็หากิจกรรมทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย สมองโปร่งใส เช่น การออกกำลังกาย เล่นกีฬา ฟังเพลง พาตัวเองออกไปชิวบ้าง สมองจะได้คิดอะไรดีๆออกมา แล้วก็จะมีช่องทางดีๆมาหาเราเอง

                                                **********************************

     มีหลายๆไอเดียธุรกิจมากมายเลยนะ ที่สรรค์สร้างอยู่แต่บนกระดาษ แต่ไม่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะมีความกลัว แต่จงอย่าให้ความกลัวมาฉุดรั้งเราจนไม่กล้าทำอะไร จงรู้จักความกลัวแล้วเรียนรู้วิธีที่จะแก้ปัญหาจากมัน ใช้ความกลัวให้เป็นประโยชน์ แล้วเริ่มลงมือสร้างธุรกิจจากความฝันของคุณให้เป็นจริง




http://www.p-seangthong.ws/

Facebook : Pattapron Seangthong


ID Line : 0816748606


วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

งานออนไลน์ใครๆก็ทำได้


จั่วหัวข้อมาดิบดี ที่ว่างานออนไลน์ใครก็ทำได้ จะจริงอย่างที่ว่ารึเปล่า?
    เริ่มต้นเลยต้องมารู้จักก่อนว่า ไอ้งานออนไลน์ที่ว่าเนี่ยะมันคืองานอะไร ทำอย่างไรบ้างในโลกออนไลน์คุณเองรู้จักงานอะไร เอาที่เคยผ่านตากันมา ตัวอย่าง ขายของในเฟสบุ๊คเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า จิปาถะฯลฯ ธุรกิจเครือข่าย ขายตรง หนังสืออิเล็คทรอนิคส์ (E-book)นี่แค่ส่วนหนึ่ง ยังมีงานอีกเยอะแยะมากมาย เรียกได้ว่างานประจำเกือบทุกอย่างในชีวิตประจำวัน กำลังเข้ามาสู่โลกออนไลน์เกือบทั้งสิ้น ง่ายขนาดการสมัครจัดอบรมทำผ่านแอรนดรอยกันแล้ว
งั้นเรามาดูสิว่า ไอ้งานที่ว่ามีเยอะแยะมากมายเนี่ยะ เราเองทำได้จริงหรือเปล่า?
    มันขึ้นอยู่กับพื้นฐานของแต่ละคน ว่าคุณมีความรู้ด้านการตลาดและคอมพิวเตอร์มากแค่ไหนเพราะถ้าไม่มีทั้ง 2 อย่างนี้เลย มันสามารถทำได้ครับแต่คุณต้องลงทุนสูงกว่าคนอื่นหน่อย เพราะการเรียนรู้ทุกอย่างต้องใช้ปัจจัย คือ เงิน หรือ เวลาเข้าแลก เรียกง่ายๆว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีครับ
     อ๊ะ อ๊ะ ไม่ได้หมายความว่า คุณมีความรู้พื้นฐานแล้วไม่ต้องลงทุนนะ เพียงแค่คุณลงทุนน้อยกว่าแค่นั้น บางคนบอกว่าฉันมีสินค้าที่ฉันขายอยู่แล้ว เอามาลงรูปขายในเฟสบุ๊คก็ได้ฟรี อันนั้นมันก็ถูกแต่คุณลองมานึกถึง จำนวนที่ขายได้หรือผลตอบแทนสิ คุณเปิดหน้าร้านขายอยู่บ้านก็ขายได้ ในเฟสบุ๊คคุณก็ขายแต่กลุ่มเพื่อน แค่เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าไม่ต้องมาร้าน แถมบางทียังต้องหอบของไปบริการส่งถึงบ้านอีก แล้วถ้าเทียบกับการขยายโอกาสให้สินค้าของคุณ ไปโลดเเล่นให้คนทั่วไปได้เห็น เช่นการลง Facebook Ads หรือ การมีเว็บไซต์ร้านค้าของตัวเอง ถ้าทำเว็บไซต์ไม่เป็นก็ไม่ต้องกลัว เพราะเดี๋ยวนี้ผู้ให้บริการมีหลายเจ้า แถมส่วนใหญ่ยังมีโปรโมรชั่นทำการตลาดให้คุณด้วย
การลงทุนแบบไหนคุ้มค่าที่สุด?
     การลงทุนที่เสียเงินน้อยที่สุด คือ การเรียนรู้และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่กว่าจะเห็นผลลัพธ์ ต้องลองผิดลองถูก ใช้เวลานาน(แต่ถ้าคุณเป็นแล้วจะเก่งเลยนะ) อันนี้ผมแนะนำให้ทำที่หลัง
     การที่จะรู้ว่าคุ้มค่าหรือไม่ ต้องดูว่าคุณขายอะไร สินค้าคืออะไร ราคาเท่าไหร่ เหมาะสมกับคนกลุ่มไหน แล้วค่อยมาวางแผน ว่าทำการตลาดแบบไหนถึงจะเหมาะกับสินค้าคุณ ถ้าไม่มีการวิเคราะห์ซะเลยมันก็เจ๊งตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เอาเสื้อผ้าไปวางขายในตลาดสด มันได้ขายครับแต่ขายได้รึเปล่านั่นอีกเรื่องนึง
สรุปตกลงคุณทำงานออนไลน์ได้รึเปล่า?
     ถ้าคุณยังตอบคำถามตัวเองไม่ได้ หรือ งงกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ผมขออนุญาตตอบแทนคุณว่าสามารถทำได้ครับ มันง่ายด้วยเพียงแต่คุณอยากเริ่มกับงานอะไรแค่นั้น แล้วคุณก็ศึกษามันให้เข้าใจ
มันไม่มีอะไรมากถ้าคุณรู้ เพราะที่หลายคนคิดว่าทำไม่ได้เพราะไม่รู้ไงครับ
     แล้วที่กลัวกับการถูกหลอก ถูกโกง มันก็ขึ้นอยู่กับข้อเดียวกัน คือ รู้หรือไม่? จะยกตัวอย่างยังไงดีหล่ะ เอาอย่างนี้ 1+2=4 คุณเชื่อผมมั๊ย แน่นอนเกือบ 100% ต้องตอบว่าไม่เชื่อ เพราะคุณรู้คำตอบมันดีอยู่แล้ว ว่าคำตอบมันคือ 3 รึเปล่า อ่ะบางคนมีลังเลใช่รึเปล่าน้า เห็นรึเปล่าครับว่าในสิ่งที่คุณรู้ใครก็หลอกคุณไม่ได้
     เพราะฉนั้นงานออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรคุณก็สามารถทำได้ แต่ทำแล้วจะประสบความสำเร็จรึเปล่านั้น ขึ้นอยู่ที่ตัวคุณเอง ว่าคุณจะกล้าลงมือทำ กล้าที่จะเรียนรู้มัน กล้าที่จะเอาตัวเองออกมาจากโลกแห่งความไม่รู้ แล้วโทษว่าสิ่งนั้นไม่ดี หลอกลวง ทำแล้วไม่ได้เงินหร๊อกเสียเงินฟรี
     คุณกล้าที่จะเอาตัวเองมาจากตรงนั้นรึยัง...........................?
สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ ที่กั้นใจอ่านจนจบ มันอาจไร้สาระสำหรับบางคน แต่ผมว่าบางคนมันคือจุดเริ่ม
ที่ดีเลยทีเดียว ขอให้ประสบความสำเร็จในโอกาสของชีวิตที่กำลังจะเปลี่ยนไปครับ

http://www.p-seangthong.ws

Facebook : Pattapron Seangthong

ID Line : 0816748606