วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

คาถา พารวย





วันนี้จะพามาพบกับ คาถา พารวย
      เริ่มต้นจะต้องหาสมุดจดกับปากกามาเตรียมไว้  ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เกี่ยว คาถาวันนี้ไม่ต้องตั้งนะโม 3 จบ แล้วค่อยร่ายคาถา เพียงแต่นำทัศนคติที่ดี มาคอยคิดและวิเคราะห์ตามก็พอ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีอคติเยอะไปมองอะไรก็ไม่ดีไปหมด ของขายไม่ได้ก็โทษเศรษฐกิจ พอขายดีก็ว่าเศรษฐกิจมันดี มันเป็นอย่างนั้นจริงเหรอเศรษฐกิจนี่เป็นตัวแปรได้มากขนาดนั้นจริงเหรอ?
      ลองมาวิเคราะห์ที่ตัวสินค้ากันบ้างมั๊ย เอามาหนึ่งตัวอย่างกว้างๆอย่างอาหาร มีร้านข้าวแกง 2 ร้าน ทำเลของทั้งสองร้าน คือ ริมทางเท้า อยู่ห่างกัน 200 เมตร คนละฝั่งถนน
      ร้านที่ 1 ชื่อร้าน แดงข้าวราดแกง ขายกับข้าวรสชาติดี อาหารสะอาด ราคา 1 อย่าง 25 บาท 2อย่าง 35 บาท (ถือว่าไม่แพง) เพิ่มไข่ 7 บาท 
      ร้านที่ 2 ชื่อร้าน เจ้ไฝ ไบค์ซิเคิล (เพราะแกนำจักรยานสิ่งที่แกชอบมาตกแต่งร้าน) รสชาติอาหารพอๆกัน สะอาดถูกหลักอนามัยเหมือนกันทั้งคู่ ต่างกันตรงวิธีการขาย เจ้ไฝแกขายแบบบุฟเฟ่ กินไม่อั้นอิ่มละ 30 บาท ผักฟรีน้ำดื่มบริการตัวเอง เสริฟให้แก้วละ 5 บาท 
      ถ้าเป็นคุณ คุณจะอุดหนุนร้านไหน บางคนตอบทั้งสองร้านเลย ในมุมมองของผู้บริโภค ถ้าทั้งสองร้านรสชาติอาหารอร่อยเหมือนกัน ความสะอาดเท่ากัน สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเลือกก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณและความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกร้านเจ้ไฝ เพราะเราเป็นคนควบคุมปริมาณเอง เลือกที่จะตักเนื้อมากกว่าผักก็ได้ ในราคาที่ไม่แพง 30 บาทพ่อจะเบิ้ล 2-3 จานเลย
     ในความเป็นจริงคนเราจะกินข้าวได้สักกี่จานใน 1 มื้อ แล้วถ้าคนในร้านเยอะไอ้จานแรกที่ตักผมว่าพูนจานอ่ะ เพราะกลัวหมดกินไปกินมาประกอบกับผักแกล้มแก้เลี่ยน น้ำเปล่าที่ตักไม่อั้นผมว่าอิ่มตั้งแต่จานแรก บางทีโลภตักไข่มา 2 ฟองเพราะรวมอยู่ในอิ่มนึงอยู่แล้ว 30 บาทคุ้มสำหรับผู้บริโภค
     แล้วใช่ว่าร้านเจ้แดงจะขายไม่ได้นะ เพราะผู้บริโภคบางคนก็ไม่ได้คิดจะกินเอาอิ่มขนาดนั้น แต่ก็เป็นลูกค้าพนักงานทั่วไป ไม่เหมือนเจ้ไฝที่จะเป็นคนใช้แรงงานซะส่วนใหญ่
     สรุป ร้านข้าวแกงของเจ้ไฝขายได้มากสุด ด้วยจำนวนลูกค้าที่มีสัดส่วนมากกว่า ที่นี้ลองมาวิเคราะห์กันเป็นข้อๆว่าทำไมร้านข้าวแกงเหมือนกัน รสชาติความสะอาดอยู่ในเกินดีเหมือนกัน ทำไมผลลัพธ์ถึงต่างกัน แยกออกมาได้ 3 ข้อ คือ

1. สร้างแบรนด์
    เจ้ไฝมีแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่ชื่อร้าน เจ้ไฝ ไบค์ซิเคิล ที่เข้ากับการตกแต่งร้าน ทำให้เป็นหนึ่งอย่างที่เป็นสิ่งดึงดูดลูกค้า ฟังแค่ชื่อก็จำง่าย เวลาบอกต่อกันไปก็ทำให้ติดหูไว เพราะแค่เจ้ไฝเดี๋ยวพวกจะถามย้อนอีกว่า "ไฝไหนว่ะ" เมื่อร้านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปแล้วก็มาถึงขั้นตอนที่ 2

2. วิเคราะต้นทุนกำหนดราคา
    อันที่จริงแล้วถ้าเจ้ไฝเอง อยากได้กำไรมากขึ้นก็เพิ่มราคาก็ได้ แต่ถ้าขายราคาสูงไปคนที่เป็นลูกค้าหลักอย่างคนใช้แรงงาน เค้าจะไม่มากินหน่ะสิ ร้านที่ขายได้กำไรมากแต่ไม่ค่อยมีคนมากิน ร้านก็อยู่ได้ไม่นานนักหรอก ลองคิดดูถ้าเจ้ไฝขายอิ่มละ 40-50 บาท คนจะกินอยู่นานแค่ไหน ส่วนขายแบบเจ้แดงราคา 25-35 บาทกำไรเค้าพออยู่ได้แล้ว ลูกค้าก็คนละกลุ่มแล้วถ้าเจ้ไฝมาขาย 40-50 ลูกค้าก็ต้องอยู่กลุ่มเดียวกับเจ้แดง ทีนี้จะขายสู้เจ้แดงไม่ได้ ขายราคาอิ่มละ 30 บาท ลูกค้าคนละกลุ่มกับร้านที่ขายเหมือนกัน ขายกำไรน้อยหน่อยแต่ได้ปริมาณเยอะมันก็อยู่ได้แล้ว ต่อไปส่วนที่ 3 ส่วนสุดท้าย

3. รู้จักเป็นผู้ให้ที่ดี
    เราขายของสิ่งที่เราบอกลูกค้าได้เเละเป็นประโยชน์ก็ควรบอก อย่างเจ้ไฝเมื่อกำไรน้อยเน้นปริมาณก็จำเป็นต้องลดต้นทุน ติดป้ายบอกลูกค้าว่าบริการตัวเอง ตัดค่าจ้างเด็กเสริฟเอามาเป็นคาจ้างล้างจานให้ทันใช้และคอยเก็บกวาดเพื่อความสะอาด แถมยังใจดีเป็นห่วงสุขภาพลูกค้าด้วยการให้ทานผักฟรีอีก อย่างนี้เป็นผู้ให้ที่ดีไม่เอาเปรียบเพราะบอกกันตรงๆ ลูกค้าก็ประทับใจ

ทั้งหมดก็เป็น คาถา พารวย ที่ผมได้นำมาฝาก สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ เพียงแปรงให้เข้ากับธุรกิจที่ท่านกำลังทำอยู่ ทุกอย่างผมว่าการเริ่มต้นมันก็เหมือนๆกัน ต่างกันเพียงทรัพย์ในการลงทุน และทรัพยากรบุคคล แต่หลักๆแล้วธุรกิจที่ดีก็จะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน สิ่งที่ผมนำเสนอบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนจบ ขอบคุณครับ


http://www.p-seangthong.ws



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น