วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เหนื่อยหน่าย โดดเดี่ยว

เมื่อต้องเผชิญ
"อุปสรรคเป็นเรื่องน่ากลัว ถ้ามองมันใหญ่กว่าตัวเรา
เคยคิดกันไหมว่าอุปสรรค อาจเกิดจากตัวเราเองก็ได้"
แล้วเราจะรับมือกับมันยังไง?

วิธีการรับมือ
  ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่าอุปสรรคมันคืออะไร แล้วค่อยๆแยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้มันเล็กลงแล้วค่อยหาทางออกทีละเปราะ แค่นี้ไอ้อุปสรรคที่ใหญ่โตมโหราฬ มันจะดูเล็กลงทันที และที่ลืมไม่ได้คือค้นหาว่า ไอ้อุปสรรคเนี่ยะมันเกิดจากอะไร เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก อย่าลืมสำรวจตัวเรานะ ว่าเป็นตัวนำอุปสรรคเข้ามารึเปล่าเพราะบางครั้งอุปสรรคต่างๆนาๆมันมักมาจากตัวเราเอง (คุณไม่รู้ตัวหรอก)

  เมื่อเจอแล้วตั้งสติอย่าร้อนรน การแก้ปัญหารีบไปก็ไม่ดี ช้าไปก็ไม่ทันการณ์ อาศัยความพอดีของจังหวะเวลา ถ้าปัญหามาจากตัวเราให้รีบปรับจุดบกพร่องในตัวเองเสีย อันนี้ช้าไม่ได้ แต่ถ้าปัญหามาจากสิ่งรอบตัวหรือเพื่อนร่วมงาน แบบนี้ต้องค่อยๆแก้ รีบไปอาจเสียการใหญ่ ความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานมันเปราะบางอาจพังลงง่ายๆ 

ป้องกันไว้ก่อน
   และนั่นคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถป้องกันการเกิดปัญหาในการทำงานหรือในธุรกิจได้ ด้วยการวางแผนการทำงาน เพื่อให้รู้ขั้นตอนข้างหน้าว่าเราจะทำอะไร ทีนี้พอเกิดปัญหาอะไรขึ้นเราจะรู้ทันทีว่าควรแก้ไขไปในทิศทางใด เพราะเรามีแผนงานวางไว้แล้ว แถมถ้าแผนนั้นกำหนดระยะเวลาการทำงานไว้ด้วยจะยิ่งดีไปใหญ่ 

   เมื่อเรารู้จักว่าเรากำลังทำอะไร มีแผนงานยังไง รู้ขั้นตอนและวิธีการทั้งหมด ทีนี้ต่อให้ปัญหาใหญ่สักแค่ไหนก็เอาอยู่ เตรียมตัว เตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหาไว้เสมอ ยังไงก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แล้วพอเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็พาลล้มเลิก ท้อถอย สิ้นหวัง หดหู่ มาครบ

**** การวางแผนกับสติจะพาคุณหลุดพ้นจากอุปสรรคต่างๆได้ **** 


  สอนงานมือใหม่สู่มืออาชีพ

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

อุปสรรคของความสำเร็จ

เมื่อเป้าหมายถูกบิดเบือน
   คุณเคยเกิดความขัดแย้งในตนเองรึเปล่า มันทำให้ความรู้สึกและจิตสำนึกนั้นถูกลบเลือน ด้วยความคิดของคุณเองเลยนะ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทรมาน สับสน กังวล จนเกิดความไม่แน่ใจ ในสิ่งที่เคยเชื่อมั่น
   ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เรา เกิดความขัดแย้งในตนเอง ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ทั้งสิ่งเหตุการณ์ที่เจอกับตัวเอง ทั้งประสบการณ์ที่เล่าต่อๆกันมา ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ โดยทั้งสิ้น เราจะมาแยกออกเป็นส่วนๆเพื่อให้รู้วิธีแก้ไขเป็นข้อๆต่อไป


   

ปัจจัยภายนอก
   หลายคนคงเคยประสบพบเจอมาแล้วทั้งนั้น กับการที่เราจะเริ่มทำอะไรสักอย่างมักจะมีเพื่อน หรือ คนใกล้ตัวมาคอยแสดงความคิดเห็นทางด้านลบ อย่างเช่น จะทำได้เหรอ เห็นเจ๊งกันมาเยอะแล้ว ราคาแพงไปมั๊ย ขายตรงอีกล่ะไม่ยุ่งด้วยนะ 
   จะเริ่มธุรกิจที่มันสุจริตสักงาน มันช่างยากแสนเข็ญ งานที่เป็นรูปธรรมมองเห็นจับต้องได้มันไม่ค่อยมีคนเชื่อว่าทำได้ แต่อะไรที่มองไม่เห็น มีจริงรึเปล่าไม่รู้  แต่เค้าบอกว่าได้แน่ๆแมร่งเชื่อ สมมุติเราบอก "เสื้อสีเขียวแกใส่ไม่ขึ้นอ่ะ" มันไม่เชื่อ แต่หมอดูบอก "ห้ามใส่เสื้อสีเขียวเป็นอัปมงคล" แมร่งเชื่อ!! นี่แหล่ะมนุษย์
แก้ไข
   แก้ไม่ยากเลย เชื่อมั่นในตัวเองสิเราทำได้ ทำไม่ได้ต้องรอให้คนอื่นมาบอกเหรอ มันต้องรู้ตัวเองแล้ว ธุรกิจนี้เลือกมากับมือ จากความชอบ จากงานที่เรารัก คนที่จะทำมันได้ดีที่สุดก็คือ ตัวคุณเองไม่ใช่ใครเหรอ หรือ จะให้คนที่ไม่ได้มาลงมือทำคอยบอก เชื่อคุณต้องเชื่อ
ถ้าคุณเชื่อ คนอื่นก็จะเชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อเช่นกัน 



ปัจจัยภายใน
   ข้อนี้ไม่ได้เกิดจากใครเลย เกิดจากตัวเราเองล้วนๆ แล้วมันเกิดมาจากอะไรได้บ้าง ช่วงเริ่มต้นของธุรกิจบางธุรกิจก็เริ่มต้นได้ดี กับบางธุรกิจมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด และสิ่งนี้ก็จะเกิดนั่นคือ "ความท้อ" 
   บางครั้งคนเราก็มองข้ามบางอย่าง ที่ใกล้ตัวไปได้เหมือนกัน นั่นคือ "ความพยายาม" คนส่วนใหญ่ถ้าผิดพลาดมักจะไม่ค่อยโทษตัวเองแต่จะโทษทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ทั้งๆที่บางอย่างอาจเกิดจากตัวเราเอง
แก้ไข
   อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับบางคน แต่ถ้าเรามีการวางแผนมาเป็นอย่างดี วิธีการทำงานก็จะเป็นขั้นตอน และตรวจสอบจุดบกพร่องได้ง่าย วางแผนให้เป็นขั้นตอน ทำการกำหนดช่วงเวลา ทีนี้ถึงก้าวพลาดก็ไม่ต้องมาเริ่มใหม่ทั้งหมด แค่ย้อนขั้นตอนกลับไป 
   เปรียบง่ายๆเหมือนทอดไข่เจียว ใส่ไข่ก่อนน้ำมัน กับ ใส่น้ำมันก่อนไข่ ผลลัพท์มันก็ต่างกันทั้งๆที่มาจาก 2 สิ่งที่เหมือนกัน ทำธุรกิจก็เหมือนกัน อย่าไปทำให้มันยาก เราลองคิดที่จะมีผลลัพท์ยากๆด้วยวิธีการง่ายๆดูสิ น่าสนุกนะ




คำคม คม แรงบันดาลใจดี ดี ใครก็พูดได้ มันต่างกันที่ ใครจะทำ

GDI Prosective

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

หมดปัญหาเรื่องเวลาทำงาน ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบ

The system works
   หรือ การทำงานอย่างเป็นระบบ ทุกวันนี้หลายคนที่ใช้เวลาทำงานไปพร้อมๆกับออกแรงทำงาน แต่จะมีสักกี่คนที่คิดถึงการวางแผนระบบการทำงาน คงจะมีแต่เจ้าของกิจการหรือไม่ก็ผู้นำองค์กร ที่มองเห็นตรงส่วนนี้ว่าสำคัญ 
   คนส่วนใหญ่ในประเทศจะเป็นชนชั้นแรงงาน ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจและเอกชนเป็นส่วนใหญ่ จึงได้แต่ทำตามระบบให้หมดเวลางาน มากกว่าจะคิดวางแผนระบบการทำงานของตัวเอง ข้อนี้เถียงได้ถ้าไม่จริง 


   ผมจึงอยากให้มองเห็นความสำคัญในการสร้างระบบการทำงาน บางทีอาจเป็นทางเลือกให้คุณ มีรายได้มากกว่าหนึ่งทางก็เป็นได้ ลองคิดดูสิว่าปัจจุบันถ้าคุณมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ค่าดำรงค์ชีพ ค่าบัตรเครดิต ค่าเช่าห้อง ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ บางคนยังมีผ่อนบ้าน ผ่อนรถอีก เงินเดือนคุณมันพอกับค่าใช้จ่ายเหล่านี้รึเปล่า นี่ยังไม่รวมค่าสังสรรค์กับเพื่อนฝูงเลยนะ 
   ก่อนที่จะไปไกล มาว่ากันด้วยเรื่องระบบดีกว่า ถ้าคุณจัดการวางแผนการทำงานให้เป็นขั้นตอน งานของคุณก็จะเสร็จตามเป้าหมายเร็วขึ้น แยกออกมาเป็นข้อๆอย่างเช่น
1. เป้าหมายการทำงาน
2. จัดการแยกงานเป็นหมวดหมู่
3. ทำที่ละหมวดตามความสำคัญ
4. ตรวจทาน
5. สรุปงานตามเป้าหมายทั้งหมด
   มันอาจจะดูมีข้อจำกัด เหมือนจะดูยุ่งยากแต่เชื่อเถอะครับว่ามันเวิร์ค ลองคิดดูถ้าไม่ได้วางระบบงานไว้ เวลามีปัญหาคุณอาจต้องมาแก้ไขใหม่ตั้งแต่ต้นเพราะหาสาเหตุไม่เจอ แต่ถ้าจัดสัดส่วนการทำงานแล้ว จะมองเห็นปัญหาได้ตั้งแต่มันยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป
   ถ้าคุณเสียเวลามาวางแผนระบบการทำงาน วันนึงคุณอาจได้วางแผนชีวิตตัวเองใหม่ จากที่เคยใช้แรง ใช้เวลาไปกับงานของคนอื่น มาเป็นใช้เวลาสร้างอนาคต สร้างอาชีพของคุณเอง อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน 

 *** อยากมีเวลาใช้ชีวิต เอาเวลามาสร้างชีวิตก่อนมั๊ย ***

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน


5 ขั้นตอนเปลี่ยนแนวคิด
   ทุกวันนี้ชีวิตคุณเป็นอย่างไร ยังอยู่กับรูปแบบชีวิตเดิมๆอยู่หรือไม่ แสวงหาความก้าวหน้าแต่ไม่กล้าออกจากกรอบชีวิต อยากเปลี่ยนงานที่ทำ อยากหารายได้เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่
   ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพียงแค่คุณก้าวข้ามความกลัวทุกอย่าง แล้วมาทดสอบความสามารถของตัวคุณเอง บางทีคุณอาจทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ ด้วยขั้นตอนง่ายๆที่ผมจะนำมาให้คุณได้ลองทำตามดู

1. หยุดเปรียบเทียบ
   คนส่วนใหญ่ชอบที่จะเปรียบตัวเองกับคนอื่นที่สำเร็จ ว่าคนเหล่านั้นเกิดมามีพร้อมทุกอย่าง พวกเค้ามีเงินได้เพราะฐานะทางบ้านมีอันจะกินอยู่แล้ว 
   ลองคิดดูนะครับ บางคนไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิดแต่เค้าก็มีฐานะขึ้นมาได้ เพราะอะไรหล่ะครับ เพราะเค้ามีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น อยากขับรถสปอร์ตถ้ามัวแต่นั่งฝัน มันก็เป็นจริงได้แค่ความคิด 

2. ไม่จำเป็นต้อง Prefect
   ถ้าคุณจะทำอะไรให้ทุกอย่างมัน 100% คุณต้องอาศัยความตั้งใจอย่างมาก จนสุดท้ายไอ้ความตั้งใจแล้วไม่สำเร็จนั่นแหล่ะที่มันจะพาคุณไปสู่หนทางของความล้มเหลว ตั้งเป้าไว้สูงเกินเอื้ยมโดยที่ไม่มองความเป็นจริง สุดท้ายล้มไม่เป็นท่า
   คุณอาจทำมันให้ดีได้ โดยที่ซอยมันออกเป็นช่วงๆเหมือนเราสร้างอาคาร มันต้องเริ่มจากฐานรากที่ดีจึงนำมาซึ่งชั้นต่อๆไป ให้ความสำเร็จมันส่งเสียงทีละขั้น ทีละตอนจนมันยิ่งใหญ่จนบางครั้งคุณเองยังไม่รู้ตัว

3. หาหลักฐานเสริมความคิด
   ถ้าคุณคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ มันก็ทำไม่ได้วันยันค่ำ เลิก!! ความคิดนั้นซะ แล้วลองหาข้อมูลมาสันบสนุนความสำเร็จของตัวคุณเอง ดีกว่าเที่ยวมาหาข้อมูลสนับสนุนความขี้เกียจของคุณ เช่น คุณจะบอกเรื่องอะไรสักเรื่อง คุณต้องมีหลักฐานประกอบเรื่องนั้นด้วย คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าคุณคิดไปเอง 

4. ให้คำจำกัดคำว่า "ผิดพลาด" ซะใหม่
   ทุกคนล้วนผิดพลาดกันได้ แต่จะมองความผิดพลาดนั้นยังไงเท่านั้นเอง ถ้าคุณมองความผิดพลาด คือ ความล้มเหลวชีวิตคุณก็จะเจอแต่ความมืดมนหาแสงสว่างไม่เจอ ผิดนิด ผิดหน่อยก็ไม่กล้าที่จะเดินต่อกลัวความล้มเหลว
   แต่ถ้าคุณมองความผิดพลาดนั้นเป็นโอกาส โอกาสที่คุณจะได้แก้ไขสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดไป โอกาสที่จะได้ลุกขึ้นมาสู้อีกครั้งโดยมีสิ่งหนึ่งที่ได้มาเพิ่มจากครั้งที่แล้วนั่นคือ "ประสบการณ์"

5. หยุดที่จะใส่ใจความคิดของคนอื่นมากเกินไป
   จะดีมั๊ยถ้าวันๆคุณมัวแต่รับฟังคนอื่นที่เค้าไม่ได้มามีส่วนร่วมในความสำเร็จของคุณ บางคนหนีด้วยการเลือกฟังแต่สิ่งที่ดีจนลืมความเป็นตัวเอง บางคนฟังแต่อะไรแย่ๆ มันทำไม่ได้หรอกทำไปสักพักมันก็ต้องเลิก แล้วที่นี่จะเอากำลังใจจากไหนมาสู้ชีวิตต่อไป
   เรื่องแย่ๆฟังได้นะแต่ให้นำมาเป็นแรงฮึดขึ้นสู้ โดนดูถูกว่าทำไม่ได้ ก็ทำให้เค้าเห็นสิว่าเราทำได้ คนส่วนใหญ่ที่เที่ยววิจารณ์คนอื่นในแง่ลบ มักเป็นพวกที่รู้ แต่ไม่จริง เพราะคนที่เค้ารู้จริงเค้าจะคอยบอกว่าทำอย่างไหนมันถึงสำเร็จ พอเค้าบอกเค้าสอนกันมากๆไอ้คนเรามันก็ไปคิดว่าเค้าอวดรู้ อวดดีเสียอีก 

   ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ มันอยู่ที่คุณลงมือที่จะทำมัน อย่างที่บอกถ้ามัวแต่คิดความสำเร็จมันก็เกิดขึ้นได้แค่ในความคิด
***** ชีวิตของคุณ คุณจะรอให้ใครมาเปลี่ยนชีวิตคุณ *****

Facebook : GDI Prosective

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำการตลาดโซเซียล ควรมี 3 สิ่งนี้

Social Media Marketing
   โลกในยุคปัจจุบันลูกค้าสามารถเข้าถึง Social Media กันมากขึ้น สื่อสังคมออนไลน์จึงเป็นที่หมายปองของนักการตลาดและพ่อค้า แม่ค้า หน้าใหม่กันมากขึ้น แต่มีอยู่ส่วนน้อยที่จะประสบความสำเร็จ บ้างก็ขาดประสบการณ์ บ้างก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการลงมือทำเท่าที่ควร วันนี้ผมเลยจะมาแนะนำการเริ่มต้นด้วยหลักง่ายๆดังนี้





หลักการ 3 ข้อที่ใช้ในการเริ่มต้น

1.การกระตุ้นเพื่อการรับรู้
   การสร้างกระแสให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ เริ่มจากการสร้าง "เนื้อหา" ให้เป็นที่รู้จักและต่อด้วยการกระตุ้นด้วยการ "แชร์" เพื่อเพิ่มการโฆษณาโดยที่ไม่ต้องลงทุน

2.ใช้ช่องทางหลากหลาย
   เมื่อเข้ามาสู่โซเซียลมีเดียแล้ว ช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าย่อมมีมาก เช่น Facebook ,Line ,Twitter ,Instagram ฯลฯ สินค้าเราจึงสมควรที่จะปรากฎอยู่ทุกๆที่ ยิ่งเข้าถึงบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อง่ายเท่านั้น

3.สร้างสีสันด้วยการสนทนา
   เมื่อธุรกิจของคุณเข้ามาสู่โซเซียลแล้ว ผู้ใช้งานทุกคนก็สามารถมีส่วนร่วมกับธุรกิจ ซึ่งวันนึงอาจเปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกค้าคุณก็ได้ จึงจำเป็นต้องมีสัมพันธ์อันดี เปิดโอกาสให้มีการสนทนาโต้ตอบกัน อย่างเป็นมิตรให้เค้าไม่รู้สึกว่าถูกรบกวน

   นี่คือการเริ่มต้นทำการตลาดในโลกโซเซียลอย่างง่ายๆ สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า จะได้กระจายสินค้าออกไปกว้างไกล อย่ามองโลกให้แคบ เปิดใจให้กว้างพร้อมที่จะรับแรงปะทะที่จะเข้ามา เพราะโซเซียลไม่ได้ปิดกั้นทางด้านความคิด
   โซเซียลมีเดีย ที่ถือว่าดีที่สุดตอนนี้ คือ Facebook เพิ่มยอดไลค์ ยอดแชร์ ให้เยอะเข้าไว้รับรองว่าธุรกิจของคุณมีโอกาสเติบโตไปได้อีกแน่นอน

เพจ GDI Prosective

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ขายของบน Facebook จะขายได้เหรอ???


Sell On Facebook 
   เอาง่ายๆ "ขายของบนเฟสบุ๊ค" นี่แหล่ะ ไม่ต้องไปใช้คำที่มันดูวิจิตรพิศดารอะไร แล้วไอ้การเอาสินค้ามาขายบนเฟสเนี้ยะ มันขายดีจริงรึ? หรือแค่โพสทิ้งๆขว้างๆ อ่า!! อันนี้อยู่ที่ตัวคุณเเล้วหล่ะ แต่มันก็มีเทคนิคเล็กๆน้อยๆ ที่จะเป็นตัวช่วยให้โพสแต่ละโพสของคุณมีประสิทธิภาพ ดีกว่าโพสทื่อๆแล้วไม่มีแม้แต่คนถูกใจละน่ะ 
   ก่อนอื่นต้องมารู้ก่อนว่า เฟสบุ๊คมีอะไรเป็นตัววัดว่าโพสของเรามีคุณภาพ พอทีจะโชว์ในหน้านิวส์ฟีดเฟสบุ๊ค วันนี้จะมาทำความรู้จักกับไอ้เจ้า Edgerank ซึ่งมีส่วนประกอบดังนี้

 EDGERANK
   ส่วนประกอบนั้นมีอยู่ 3 อย่าง แต่ Facebook จะนำ Edgerank มาคำนวณด้วยสูตรที่มีสัดส่วนแต่ละอย่างเท่าไหร่นั้น ยังคงเป็นความลับอยู่
* Affinity หมายถึงคุณมีความใกล้ชิดกับผู้อ่านมากแค่ไหน เคยมา comment หรือ like โพสที่คุณเคยโพสมาก่อนหน้านี้ มากแค่ไหนเพราะถ้ามีเยอะจะส่งผลต่อการคำนวณ Edgerank ของโพสคุณ
* Wight ไม่ได้แปลตรงๆว่าน้ำหนัก แต่หมายถึงว่าโพสของคุณมีจำนวน comment, like, share มากแค่ไหนเรียกว่าความหนาแน่นของโพสดีกว่า
* Time Decay อันนี้คือยิ่งนานวันโพสของคุณมีความสำคัญอยู่หรือไม่ เคยย้อนกลับไปดูโพสเก่าๆของตัวเองบ้างรึเปล่า

จะขายของนะครับไม่ใช่โพสระบายความรู้สึก มันต้องมีการสำรวจโพสว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ รู้ว่าเค้าใช้หลักการอะไรมาคำนวณแล้ว คราวนี้อยากรู้เคล็ดลับที่จะทำให้โพสมีประสิทธิภาพรึยัง?
ถ้าอยากไปต่อ กรุณาโอนเงินเข้าบัญชีผมเพื่อเข้าสู่บทเรียนต่อไป 




   


   5555555 ล้อเล่นหน่ะครับ ใครจะใจดำขนาดนั้นไม่ต้องเสียตังค์หรอกครับ จัดให้ฟรีๆเลยรู้ไว้ไม่เสียหายนะครับ

  การที่โพสจะมีประสิทธิภาพและสามารถขายของได้นั้น ก่อนอื่นต้องรู้จักช่วงเวลาในการโพสเสียก่อน จากสถิติเวลาช่วงเช้าจะอยู่ที่ 07:00 น.- 10:00 น. ช่วงบ่ายจะมีผลมากแค่วันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนช่วงเย็นนั้นประมาณ 19:00 น.เป็นต้นไปครับ มันมีเหตุและผลของแต่ละช่วงเวลาลองหาดู

   ต่อไปมาดูเรื่อง comment, like, share ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่นำมาคำนวณประสิทธิภาพของโพส ถ้าไม่มีคนอื่นมากดให้ลักไก่ด้วยการกดเองสิครับ แสดงความเห็นเอง แชร์เองเลย แต่อย่าเยอะนะครับเดี๋ยวโดนแบน

   พอมาถึงเรื่องจำนวนมาก-น้อย ทำให้นึกถึงเรื่องโพส ว่าแต่ละวันไม่จำเป็นต้องกระหน่ำโพสจำนวนมากๆจนดูเลอะและสร้างความรำคาญให้ผู้อื่น คุณเองก็คงไม่ชอบใจเท่าไหร่นักเวลาเห็นโพสอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด

   และที่สำคัญคือ รูปภาพประกอบ เดี๋ยวนี้เฟสบุ๊คมักไม่ค่อยชอบรูปที่มีตัวหนังสืออยู่ในรูปเยอะๆ ลองทำภาพที่เน้นคมชัดสื่อสารได้ชัดเจนดีกว่า อย่าลืมหาวีดิโอมาโพสบ้างก็ได้นะ ผู้อ่านบางท่านก็ไม่ค่อยอยากอ่านอะไรยาวๆ แค่ดูรูป ดูวีดิโอประกอบ ประเภทที่หูฟังแต่ตากับมือกำลังเมาส์เรื่องชาวบ้านอยู่ (คนไม่เคยทำมักไม่ค่อยรู้ อิ อิ)

   อย่างสุดท้ายเลยคือ การสร้างสัมพันธ์กับผู้อ่านบ้าง เช่น มีช่องทางแชทคุยสอบถามเกี่ยวกับสินค้าในช่องแชทบ้าง หรือบางโพสอาจมีคำถามแทรก ให้มีการโต้ตอบกันระหว่างผู้โพสกับผู้อ่านโพส ถ้าทำแล้วไม่มีผลลัพธ์ก็ออกแนวขอร้องกันไปเลย เช่น ช่วยกันกดไลค์หน่อยนะค่ะ, แชร์ได้นะไม่หวงถ้าเป็นประโยชน์, คอมเมนต์กันสักนิดเป็นกำลังใจให้คนเขียนบทความนะ เออะ!!อันนี้ไม่เกี่ยวใช่มั๊ย 55555



   และที่สำคัญอย่าลืมเลยนะว่า Facebook ไม่ใช่ที่ปิดการขายที่ดีที่สุด แต่เป็นเว็บไซต์ต่างหากที่ที่คุณรวมเอาสินค้าทุกอย่างที่คุณมี รวมทั้งรายละเอียดสินค้าและราคา Facebook มีหน้าที่เพียงโปรโมทกับปิดการขายกับคนที่อยากซื้อหรือรู้จักสินค้าคุณอยู่แล้ว
   อย่าเชื่อทั้งหมดที่ผมบอกคุณต้องไปพิสูจน์เอาเอง ด้วยการลงมือทำ การขายที่ดีที่สุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนว่าขายได้มากน้อย แต่เกิดจากการซื้อซ้ำๆในคนเดียว แล้วเกิดการบอกต่อเป็นช่องทางโปรโมทที่เรียกว่า "ปากต่อปาก" เป็นคนขายที่คนซื้อชื่นชม นำเสนอสินค้าอะไรมาแนะนำลูกค้าก็มั่นใจในคุณภาพ 

****** โกงใครหลอกใครก็ทำได้แต่ไม่อาจหลอกตัวเองได้ ******


http://www.p-seangthong.ws/

Facebook Page : GDI Prosective

Line ID : 0816748606

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด

เรียนรู้จากคนสำเร็จ
............................
หมูทอดเจ๊จง "อยากสำเร็จต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง"!
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ “หมูทอดเจ๊จง” กันมาบ้าง อาจจะเคยไปอุดหนุนข้าวหมูทอดที่ร้าน หรือจะรู้จักผ่านทางรายการ SME ตีแตก หรือแม้แต่รู้จักตัวตนของเจ๊จงจากทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์ facebook หรือ twitter เจ๊จงเป็นตัวแทนของ SME ที่ค้าขายด้วยใจ จนทำให้เจ๊จงกลายเป็นที่รู้จักของใครหลายๆ คน
ในตอนแรกที่เจ๊จงเริ่มทำธุรกิจร้านอาหารนั้น เจ๊จงเปิดขายร้านอาหารตามสั่งธรรมดา การเปิดร้านขายอาหารตามสั่งในวันแรก เรียกได้ว่าเจ๊จงไม่มีทุนในการซื้ออุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ แม้กระทั่งตะหลิวที่ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการขายอาหารตามสั่ง ต้องไปยืมเพื่อนบ้าน รวมถึงจาน ชาม ช้อม ส้อมด้วยเช่นกัน เมื่อในแต่ละวันขายอาหารได้พอมีกำไรเหลือก็ค่อยๆ นำไปซื้ออุปกรณ์ภายในร้านจนครบ ต่อมามีลูกค้าคนหนึ่งแนะนำให้ทำข้าวแกงแบบบุฟเฟต์ในราคาต่อหัว 20 บาท พอลองมาทำตามคำแนะนำจริงๆ ก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นไปอีก นี่คือการพัฒนาตัวเองส่วนที่หนึ่งของเจ๊จง จากร้านอาหารตามสั่ง เป็นข้าวแกงแบบบุฟเฟต์
............................
สร้างโอกาส&พัฒนาสินค้าให้เป็นแบรนด์
“ในช่วงที่เรามาขายอาหารตามสั่ง และทำเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ ก็ขายดี แต่รายได้ก็ยังไม่สามารถนำมาใช้หนี้ได้หมด จึงคิดว่าในช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยง ไปถึง 2 ทุ่มที่เป็นเวลาเข้านอนเพื่อเตรียมขายอาหารในตอนเช้า ยังมีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงจึงคิดอยากทำอะไรขาย เพื่อไม่ต้องการให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ”
วันหนึ่งในขณะที่เจ๊จงไปส่งลูกสาวเรียนที่โรงเรียนและกำลังซื้ออาหารเช้า ก็เผอิญไปซื้อหมูทอดที่ขายในตลาดกล่องละ 10 บาทเป็นหมูทอดชิ้นเล็กๆ บางๆ ให้มาอยู่ 4 ชิ้น เจ๊จงจึงบอกลูกสาวว่า “หมูทอดอย่างนี้แม่ก็ทำได้ อร่อยกว่าด้วย” จึงเป็นที่มาของการพัฒนาส่วนที่สองว่าเราเองก็สามารถทำหมูทอดได้ และเชื่อว่าสามารถขายในราคาที่ถูกกว่าตลาดได้อีกด้วย ว่าแล้ววันรุ่งขึ้นเจ๊จงก็เลยไปซื้อหมูสามชั้นมาหมัก ชุบแป้งทอดแล้วทอดขายให้ลูกค้าที่ร้านทานในช่วงบ่ายหลังจากที่ข้าวราดแกงบุฟเฟต์นั้นขายหมดในตอนเที่ยง ถือเป็นการทดลองตลาดและหายรายได้เพิ่มไปในตัว
แต่กว่าที่ “หมูทอดเจ๊จง” จะออกมารสชาติกลมกล่อม เป็นที่ถูกอกถูกใจของทุกคนได้นั้น เจ๊จงก็ได้ทำการเปลี่ยนส่วนผสม วิธีการทำและอื่นๆ อีกมากมาย ทดลองรสชาติต่างๆ พัฒนาจนกระทั่งได้สูตรที่ลงตัว แต่เมื่อคิดจะทำขายเจ๊จงบอกว่าไม่ต้องการให้เป็นหมูทอดที่มีอยู่ทั่วไป จึงนำหมูสามชั้นมาหั่นให้บาง เพื่อให้เหลือน้ำมันหมูไม่มากนัก ชุบแป้ง และทอดให้กรอบ เพื่อนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ เจ๊จงคิดว่าทำในรูปแบบนี้น่าจะสามารถขายได้ ผลลัพธ์ปรากฎว่า ผลตอบรับดีเกินคาด ลูกค้าต่างชอบใจในหมูทอดของเจ๊จง และมาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจ๊จงจะทอดหมูขาย เพราะลูกค้าไม่ต้องการรอจนกว่าจะขายข้าวราดแกงหมด
จากวันแรกที่ซื้อหมูสามชั้นมา 8 กก. ก็ขายหมด จึงเกิดกำลังใจ วันที่สองเพิ่มเป็น 20 กก. ก็ขายหมดอีก จนวันที่สามเพิ่มเป็น 50 กก. จนกระทั่งในช่วงเดือนแรกที่ขายข้าวหมูทอดใช้หมูตกประมาณวันละ 80 กก. กลายเป็นว่าหมูทอดเริ่มเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่าผลิตภัณฑ์เก่าอย่างข้าวแกงบุฟเฟต์เสียแล้ว แต่เจ๊จงก็ยังไม่ได้นำหมูทอดมาเป็นผลิตภัณฑ์หลักแต่ประการใด จนในที่สุดมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้เจ๊จงต้องย้ายร้านมาอยู่ที่ร้านปัจจุบัน (หลังเทสโก้โลตัส พระราม 4) ทำให้เจ๊จงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เลิกขายข้าวแกงบุฟเฟต์และหันมาขายหมูทอดเป็นหลัก
ในปัจจุบันเจ๊จงใช้หมูวันละ 160-180 กก. ในการทำ “หมูทอดเจ๊จง” ที่มาของความอร่อยอย่างลงตัวนั้น มาจากการให้ความสำคัญของวัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร เจ๊จงกล่าวว่า “เจ๊จะคัดหมูที่มีคุณภาพ คือสั่งจากร้านประจำ ถ้าไม่ดี เราด่ามันได้ ใช้หมูขาหลัง เนื้อจะออกเป็นสีชมพูหน่อยๆ เวลาทอดจะนุ่ม แต่ถ้าคนที่ชอบกินติดมัน เวลากินเข้าไปมันจะสุดยอด อร่อยไม่อร่อยก็ดูกันเอาเอง”
............................
สร้างจุดเด่น หาความแตกต่าง
นอกจากจะมีหมูทอดที่รสชาติอร่อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกของการเปิดร้าน ที่ร้านของเจ๊จงก็มีบริการ “เติมข้าวฟรีไม่อั้น” เพื่อเอาใจลูกค้า ที่สำคัญคือ ราคาถูกมาก (ถ้าเทียบกับร้านอื่น) เนื่องจากราคาเริ่มต้นสำหรับขายเป็นถุงนั้นเพียง 17 บาทเท่านั้น (ข้าวสวยพร้อมหมูทอด) กลยุทธ์ฟรีไม่อั้นของเจ๊จงนั้นอาจจะดูเหมือนไม่มีกำไร หรือทำกำไรให้ธุรกิจได้น้อย แต่หากลองคิดดูดีๆ แล้วจะพบว่า ลูกค้าเหล่านี้จะมาซื้อสินค้าของเจ๊จงแทบทุกวัน และยังเกิดการบอกต่อกันอีกด้วย ว่ามาทานอาหารทีนี่เพราะรสชาติดีและคุ้ม จึงไม่น่าแปลกใจ หากเราไปที่ร้านเจ๊จงทีไร จะพบว่ามีลูกค้าต่อคิวเพื่อทานอาหารหรือซื้อกลับใส่กล่องไป กำไรที่คิดว่าน้อยจึงไม่น้อยอีกต่อไป เนื่องจากลูกค้ามีการซื้ออย่างสม่ำเสมอ
แม้ลูกค้าจะมีเยอะอยู่แล้วเจ๊จงก็ไม่หยุดการคิดการพัฒนาเพียงเท่านี้ เจ๊จงได้คิดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาทดลองใช้มากมาย เช่น เพิ่มบริการส่งถึงที่(เดลิเวอรี่) โดยเฉพาะกับลูกค้าที่ต้องการสั่งอาหารเป็นจำนวนมาก ต้องการความคุ้มค่า รวมถึงรสชาติที่อร่อยเหมือนมาทานที่ร้าน หรืออย่างการขยายร้านเพิ่มเติมเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มเดิมและลูกค้ากลุ่มใหม่ให้สามารถนั่งในร้านได้มากขึ้น เป็นต้น
ประโยคที่ถือว่าเป็นตัวแทนของร้านหมูทอด เจ๊จง ได้เป็นอย่างดีคือ "อิ่มอร่อยกับข้าวหมูทอดและอีกหลากหลายเมนูในราคาประหยัด เติมข้าวและผักได้ไม่อั้น"
............................
ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพิ่มโอกาสการค้า
ธุรกิจของเจ๊จงเป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าออฟไลน์ขนานแท้ แต่ด้วยความเป็นแม่ค้าที่มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เจ๊จงเปิดตัวเองด้วยการออกรายการ SME ตีแตก เพื่อเสนอความคิดความอ่านของตัวเอง และให้กูรูช่วยวิเคราะห์ให้ธุรกิจของตนก้าวหน้าขึ้นได้อีก ไม่เพียงเท่านั้น เจ๊จงก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วยการทำเว็บไซต์http://jehjong.com/ เว็บไซต์ที่ทำได้ง่ายๆ โดยใช้เวลาไม่นานจากโครงการ ธุรกิจไทย โก ออนไลน์ และแน่นอนว่าเว็บไซต์ของเจ๊จงก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายในเวลาต่อมา รวมไปถึงการที่เจ๊จงยังเปิดตัวเข้าสู่โลกของโซเชียลมีเดียอย่าง facebook https://www.facebook.com/JehJongและ twitter อีกด้วย http://twitter.com/jehjong การพัฒนาในส่วนนี้ทำให้เจ๊จงสามารถเข้าถึงได้ทั้งลูกค้าออฟไลน์และออนไลน์
.................................
จากคนที่เคยเดินทางมาถึงจุดต่ำสุดในชีวิต แต่กลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้นั้น เจ๊จงบอกว่ากำลังใจจากครอบครัวและความอดทนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะหากไม่มีกำลังใจดังกล่าว ก็คงไม่มีข้าวหมูทอดรสชาติอร่อย ช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยได้อิ่มท้อง นอกจากเจ๊จงจะเป็นคนที่ลุกขึ้นมาสู้ได้อีกครั้งแล้ว ยังถือได้ว่าเจ๊จงเป็นแม่ค้า SME ที่ไม่เคยหยุดคิด ที่จะพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองเลย
.................................
บทความจาก : incquity.com




Line ID : 0816748606

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขายของไม่ได้ทำไง?

ทำไง ทำยังไง แล้วจะให้ทำอะไรอีก?


   ปัญหาโลกแตกที่มีแต่คนตั้งคำถาม และคนเหล่านั้นนั่นเองที่ไม่เคยพยายามค้นหาคำตอบ รอความหวัง รอปาฎิหารย์ รอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอคนมาช่วย รอ รอ รอ รอไปเหอะ ไม่มีใครช่วยได้หรอกนะถ้าคุณไม่เริ่มช่วยเหลือตัวเองก่อน บางคนถึงขั้นจุดธูปขอพรให้ช่วยขายดี แต่ไม่เคยทำบุญเลย พระท่านจะรู้จักคุณมั๊ย? ต้องทำบุญเป็นประจำการขอถึงจะส่งผลเร็วขึ้น 
   เหมือนกันกับที่คุณขายของนั่นแหล่ะ ถ้าคิดว่าแค่เปิดหน้าร้านมีสินค้ามาวางแล้วของจะขายได้ดี ไม่มีทางนอกจากสินค้าจะเจ๊งจริงๆ อยากขายได้คุณต้องโฆษณาพูดถึงสินค้าคุณบ่อยๆ บอกให้คนอื่นรู้ว่าสินค้าคุณมีดีอะไร ซื้อไปแล้วคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปรึเปล่า ทำแบบนี้จากคนแค่เดินผ่านยังไงเค้าต้องเข้ามาในร้านหยิบสินค้าขึ้นดูสักชิ้นบ้างหล่ะ
   ถ้าถามว่าการขายคืออะไร ตอบแบบบ้านๆการขายก็คือการทำให้คนมาซื้อของคุณ และถ้าจะให้ขายดีต้องทำให้ซื้อหลายคนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่บังคับใส่มือเค้าให้เค้าซื้อแล้วเจอกันทีเดียวจบ เมื่อไม่มีการซื้อต่อเนื่องก็จะไม่มีการบอกต่อ ซึ่งไอ้การบอกต่อเนี้ยะคือการโฆษณาที่ดีที่สุดเลยทีเดียว บอกอย่างนี้แล้วก็ต้องมีคำถามอีกว่า "ทำยังไง" เก่งจริงทำให้ดูหน่อยสิ อืม!!สินค้าก็ของคุณ ร้านก็ของคุณ รายได้ที่จะได้ก็ของคุณ ยังจะหวังคนอื่นอีก เริ่มทำที่ตัวคุณสิ จะขายอะไรต้องรู้จักสิ่งนั้นให้ดีเสียก่อน เพราะผู้บริโภคแทบจะทุกรายย่อมมีคำถามเกี่ยวกับของที่คุณขายแน่นอนก่อนที่เค้าตัดสินใจซื้อ และแน่นอนว่าเค้าจะไม่มีทางสนใจสินค้าคุณถ้าพวกเค้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร มีประโยชน์กับเค้ายังไง
   

     
   น้ำส้ม 2 แก้วนี้วางโชว์อยู่ในตู้แช่เดียวกัน ภาชนะที่บรรจุเหมือนกันปริมาณเท่ากัน รสชาติเหมือนกัน ราคาเดียวกัน เป็นคุณจะเลือกหยิบแก้วไหน บนหรือล่าง ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ แค่อยากจะบอกว่าบรรจุภัณฑ์ก็เป็นส่วนช่วยขายสินค้าเหมือนกัน บางคนขายเสื้อผ้าสวยเชียวแต่พอเห็นถุงใส่เอาถุงหิ้วธรรมดามาทำให้เสื้อสวยหมองเลย ลงทุนหาถุงสวยๆมาใส่ก็ได้ เป็นคนขายไม่จำเป็นต้องหวังกำไรมาก แต่ขอให้สินค้าขายได้จำนวนมากนั่นถึงจะเรียกว่า "ขายดี
   การหาคนช่วยกระจายสินค้า ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้สินค้าขายได้จำนวนมาก สมมุติน้ำส้มได้กำไรแก้วละ 3 บาท คุณต้องการขายให้ได้ 100 แก้วเพื่อให้ได้กำไร 300 บาท คงจะนานเลยเนอะกว่าจะหมด 100 แก้ว แต่ถ้าคุณยอมลดกำไรลงสักหน่อย แบ่งน้ำส้มให้คน 100 คนไปขายโดยให้ค่าขายแก้วละ 1 บาท ไม่ต้องไปเหนื่อยนั่งขาย เดินขายแต่ได้กำไร 200 บาท แล้วเชื่อเถอะว่า 100 คนนั้นเค้าคงไม่ได้ขายแค่คนละขวดแน่ แววอาเฮีย อาซ้อจับล่ะที่นี้
   เหนือสิ่งอื่นใดการที่เราจะขายสินค้าอะไรก็ตาม เราต้องสร้างสิ่งนึงให้เกิดขึ้นกับลูกค้าหรือผู้สนใจให้ได้ สิ่งนั้นคือ "ความเชื่อใจ" คนเราถ้าไม่ไว้ใจกันแล้ว ต่อให้สินค้าดีมีคุณภาพขายถูกกว่าชาวบ้านบางทีคนก็ไม่ซื้อนะ อยากได้ใจคนต้องให้ใจเค้าก่อน ซื่อสัตย์ ไม่โกง มีแต่พัฒนาไม่เอาเปรียบลูกค้า เจอกันครั้งแรกประทับใจยังไง เจอกันครั้งต่อไปต้องสร้างความประทับใจเพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าคุณอยากขายของออนไลน์ด้วยแล้วข้อนี้ถือว่าขาดไม่ได้เลย เพราะต้องขายของให้คนที่ไม่เห็นหน้ากัน ไม่รู้จักกันมาก่อน ต้องสร้างตัวตน ต้องทำมากกว่าเป็น 2 เท่า

   สุดท้ายที่อยากจะบอกคือ อะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามันจะทำไม่ได้ แต่เราอาจจะไม่เคยทำ หรือทำยังไม่พอ ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญ อุปสรรคเป็นเพียงบททดสอบคนที่ไม่ย้อท้อ ขอแค่อย่ายอมแพ้ "คำว่าจนไม่ได้มีไว้ใช้กับคนขยัน" ขอให้ทุกท่านโชคดี




http://www.p-seangthong.ws/

Line ID : 0816748606

https://www.facebook.com/GDI.Prosective

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปรับทัศนคติ

Attitude (ทัศนคติ)
   พอได้ยินคำนี้หลายคนไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อะไรก็ปรับทัศนคติ เข้าเรื่องดีกว่าสำหรับวันนี้จะว่ากันด้วยเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับธุรกิจ มันมีความสำคัญยังไงต้องเป็นเรื่องที่ดีอย่างเดียวหรือร้ายบ้างก็ได้ เมื่อคุณจะเริ่มธุรกิจใดๆก็ตามมันต้องมีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเสียก่อน วันนี้จะแบ่งมุมมองความคิดออกเป็นข้อๆได้ดังนี้

1.วิเคราะห์
   มันเป็นธรรมชาติของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ เราต้องคิดวิเคราะห์ว่าเราจะทำอะไร สิ่งที่เราทำจะให้อะไรกับคนทั่วไปและให้อะไรกับเรา บางคนถามแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย งั้นก็ลองถามตัวเองว่า "อยากขายของได้หรืออยากได้ขายของ" ถ้าอยากขายของได้ต้องมีการศึกษาก่อนว่าคนทั่วไปเค้าต้องการอะไร หรือกลุ่มคนที่เราต้องการขายของให้เค้าอยากได้อะไร ขาดอะไร
   คิดอย่างนี้แล้วสินค้าที่เราจะนำมาเสนอขายยังไงก็ต้องขายได้ ต่อไปก็ค่อยไปคิดว่าทำยังไงจึงจะขายดี เหมือนทุเรียนเมืองนนท์ทำไมมันถึงได้แพงนัก เป็นเราคงไม่ซื้อหรอก ถูกครับเพราะคุณก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายลูกค้าเค้าเหมือนกัน สินค้ามีคุณภาพผลผลิตออกมาจำนวนไม่มากต่อปี ราคาย่อมสูงเป็นธรรมดา 

2.วางเป้าหมาย
   เมื่อวิเคราะห์ตลาดเรียบร้อยคิดได้แล้วว่าจะขายอะไรดี คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนในการตั้งเป้าหมาย ว่าเราต้องการได้อะไรจากสิ่งที่ทำ บางคนอยากมีรายได้เดือนละแสนภายใน 1 ปี บ้างก็แค่อยากมีรายได้มากกว่าปัจจุบันพอที่จะส่งให้พ่อ-แม่ได้ก็พอ ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละคน เป้าหมายไม่มีถูกผิดจะตั้งให้ใหญ่โตแค่ไหนตามสบาย
   ถ้าเป้าหมายคุณใหญ่เกินไป ไม่ได้บอกนะว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่อยากให้ซอยเป้าหมายให้เป็นแบบขั้นบันได ไปที่ละชั้นเขาจะสูงทางจะชัน ผมก็เห็นมนุษย์เรามีความพยายามและหาวิธีไปจนถึงจนได้ เป้าหมายก็เช่นกัน ใหญ่แค่ไหนถ้าทำให้เป็นขั้นตอนมันก็สำเร็จจนได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับข้อถัดไปด้วย

3.ลงมือทำ
   วิเคราะห์ดีแล้ว ตั้งเป้าหมายเรียบร้อย แต่ถ้าไม่ลงมือทำก็ถือว่าล้มเหลวเหมือนกัน เพราะจะให้รู้ว่าไอ้ที่วิเคราะห์มามันได้ผลรึเปล่า ต้องปรับตรงไหนบ้างถ้าไม่ลงมือทำมันดูแล้วจะรู้ได้ไง ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง
   เป้าหมายที่วางไว้ใหญ่โตมโหฬารเพียงใด ถ้าปราศจากการลงมือทำก็ไม่ต่างจาก ฝันลมๆแล้งๆ ฟังแบบนี้แล้วคุณจะเริ่มได้รึยัง อย่ามัวแต่หาข้ออ้างมาสนับสนุนความขี้เกียจของตัวเอง เว้นเสียแต่พ่อ-แม่คุณจะมีเงินทองพอที่จะให้คุณผลาญเล่นไปวันๆ

   อะไรที่คุณกำลังจะเริ่มมันไม่จำเป็นต้องเลิศเลอ ขอแค่เป็นสิ่งที่คุณชอบและถนัดที่จะทำมัน ผมรับรองว่าคุณต้องมีความสุขที่ได้ทำ และสนุกกับมันทุกครั้งที่ได้ลงมือ สิ่งที่คุณรักคุณจะไม่แค่พยายามทำแต่คุณจะทำมันอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งว่าชีวิตขาดมันไม่ได้ และผมหวังว่าจะได้เห็นมุมปากของคุณค่อยๆขยับขึ้นช้าๆอย่างมีความสุขเมื่อนั่งมองดูความสำเร็จ จากการลงมือทำสิ่งที่คุณหลงรักมัน

       "ไม่มีฝันใดเป็นจริงไม่ได้ นอกเสียจากเราจะเพ้อไปเอง"




http://www.p-seangthong.ws


Line ID : 0816748606

https://www.facebook.com/GDI.Prosective
   

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Inspiration

Inspiration 

  หรือ แรงบันดาลใจ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้ และต่างแสวงหาไขว่คว้ามัน แล้วอย่างนี้เราจะตามหามันได้จากที่ไหนบ้าง
  เมื่อจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง เราต้องตั้งเป้าหมายเพื่อกำหนดจุดหมาย และหาแรงบันดาลใจมาสนับสนุนเพื่อเป็นตัวช่วยให้ไปสู่ความสำเร็จ แรงบันดาลใจหาได้จากรอบตัวหรือแม้กระทั่งในตัวเอง เราจะมาลองแยกมันออกเป็น 2 ส่วน คือ ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกในที่นี้เราจะเรียกมันว่า "แรงผลักดัน" ปัจจัยภายในเรียกว่า "ความเชื่อ"

แรงผลักดัน 

  สิ่งรอบข้างหรือผู้คนรอบตัว ล้วนแต่มีส่วนที่จะนำมาเป็นแรงบันดาลใจได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อคุณเริ่มที่จะทำอะไร ก็จะมีทั้งคนที่คอยร่วมยินดีและอีกส่วนก็จะรอสมน้ำหน้าเมื่อคุณล้ม ไม่ว่าเค้าจะดีหรือร้ายกับคุณมันก็เป็นแรงผลักดันเหมือนกัน ถ้าคุณอยากที่จะประสบความสำเร็จ คุณต้องเลือกที่จะฟังแต่สิ่งดี ดี เพื่อเป็นกำลังใจและในอีกทางนึง คุณต้องอย่าล้มเลิกเพราะอย่าลืมว่ามีคนคอยสมน้ำหน้าคุณอยู่ เราต้องทำให้เค้าเห็นว่าเราสามารถทำได้ และได้เป็นอย่างดีด้วย ฉนั้นจึงเรียกปัจจัยภายนอกว่า "แรงผลักดัน"


ความเชื่อ

   ในเมื่อคุณอยากประสบความสำเร็จจะต้องมีความเชื่อ ที่นี้อยู่ที่ว่าคุณจะเชื่อใคร ถ้าเลือกคนที่บอกว่าคุณไม่มีทางทำมันได้รับรองเลยครับว่าต่อให้ทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่ถ้าเลือกเชื่อคนที่บอกว่าคุณสามารถทำมันได้ต่อให้คุณกำลังแย่เชื่อเถอะครับว่าเค้ามีทางออกให้คุณแน่นอน เหมือนกับเราเชื่อคนที่ล้มเหลวยังไม่ทันเริ่มก็จะล้มเหลวเหมือนอย่างเค้า เพราะส่วนใหญ่คนจำพวกนี้ไม่เคยลงมือทำหรอกครับ ได้แต่วิจารณ์แล้วก็บอกมันไม่รุ่ง ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คนแบบนี้จะมีมากถึง 70% ส่วนคนที่ลงมือทำแล้วประสบความสำเร็จจะมีอยู่แค่ 10% อีก 20% ก็ประเภทที่ยังมองหาแรงบันดาลใจนี่แหล่ะครับ ยังไม่รู้จะเริ่มกับอะไรยังไงดี อยากมีเงิน อยากมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เลี้ยงดูพ่อ-แม่ได้แบบสบายๆไม่อยากเห็นท่านเหนื่อย
   ถ้าคุณเป็นคนประเภทหลังสุด ผมขอแนะนำให้คุณดูตัวอย่างจากคนที่ประสบความสำเร็จ พวกเค้าเหล่านั้นก่อนที่จะสำเร็จต้องเจออุปสรรคมาด้วยกันทั้งสิ้น แต่ละคนจะมีคุณธรรมและความซื่อสัตย์กับตัวเอง บางคนประสบความสำเร็จเพราะฐานะทางบ้านเอื้ออำนวย กับบางคนรวยได้ทั้งๆที่บ้านจน เพราะมันอยู่ที่เป้าหมายที่เค้าตั้งไว้และความเชื่อในตัวเองว่าเค้าสามารถทำมันได้ ปัจจัยภายในจึงเรียกว่า "ความเชื่อ"


   ที่นี้คุณต้องเลือกเองแล้วว่า ชีวิตคุณข้างหน้าคุณจะกำหนดให้มันเป็นยังไง แบ่งเวลามาให้คุณค่ากับชีวิตตัวเองบ้าง ดีกว่ามัวเอาเวลาไปนั่งท้อแท้สิ้นหวังกับโชคชะตา มีแต่ตัวคุณเองที่จะช่วยตัวเองได้ คุณไม่ต้องกลัวโดนหลอกถ้าคุณศึกษามันเป็นอย่างดี ถ้าอยากรวยคุณต้องเชื่อว่าคุณทำมันได้แล้วคุณจะรวย ขึ้นอยู่ว่าจะเร็วหรือช้าแต่รวยง่ายนั้นมันไม่มี และต้องมีความกล้า กล้าที่จะเสี่ยง ซื้อหวยยังซื้อได้ หยิบเงินจากกระเป๋าไปซื้อน้ำเพื่อเปิดฝาชิงรางวัลยังทำได้ แลัวทำไมจะลงทุนกับความสำเร็จในชีวิตคุณเองไม่ได้

             " อุปสรรคคือแรงผลักดันชั้นดี ที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ " 

                                     Inspiration    แรงบันดาลใจ






Line ID : 0816748606

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตนี้ไม่มีทุน

เกิดมาจนรวยได้ป่าว
  คนเรายังไม่ทันเริ่มก็ตั้งแง่กับสิ่งที่จะทำ ความคิดมันเริ่มตั้งแต่ทุนไม่มี ไม่เคยทำ ทำแล้วดีจริงหรือต่างๆอีกมากมาย เค้าเรียกว่าอยากรวยแต่อยากทำแล้วรวยเลยไม่อยากรอ ลองมาคิดดูสิว่าอยากได้เงินล้านนึง เดินไปขอเค้าแล้วมันจะได้เลยมั๊ย มันต้องอดทนสิเก็บเล็กผสมน้อยเดี๋ยวได้เอง
   บางคนยังดีทุนน้อยแต่ยังไม่มีหนี้สิน แต่บางคนมีหนี้ด้วยยังขาดทุนทรัพย์อีก แล้วจะจัดการอย่างไร คนทุนน้อยความทุ่มเท 100% สำหรับคนที่มีหนี้คุณต้องมีเกิน 100% เหมือนยอดมนุษย์เลยต้องมีอะไรมากกว่าคนอื่น
ลดรายจ่าย  
   ขั้นแรกห้ามท้อเมื่อไหร่ที่คุณหมดหวังทุกอย่างที่เลวร้ายจะมาลงที่คุณ ตั้งสติและจัดการกับมันส่วนไหนที่ตัดออกจากรายจ่ายได้รีบทำ รายจ่ายหลักคืออะไร ค่างวดบ้าน/ค่าเช่า อันนี้ต้องจ่ายไม่จ่ายจะไปอยู่ที่ไหน ส่งไหวก็ส่งไปถ้าส่งไม่ไหวขอประนอมหนี้ได้เพื่อรักษาสภาพคล่อง ค่าน้ำ/ค่าไฟ อาหารการกิน อะไรสิ้นเปลืองก็ลดมัน 
เพิ่มรายได้
   การลดรายจ่ายทำให้เกิดสภาพคล่อง แต่ยังไม่มีอิสระภาพอาจะแค่มีเงิน แต่ไม่ได้มีใช้อย่างสบายมีหลายอย่างที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้คุณมีทั้งลงทุนและไม่ลงทุน 
   แบบลงทุนก็มีตั้งแต่ทำบ้านเช่า ขายเสื้อยืด กางเกงยีนส์ นำเข้าสินค้า ธุรกิจเครือข่าย ซื้อหุ้น
   แบบไม่ลงทุนก็ประเภทขายความรู้ ความสามารถ เขียนอีบุ๊ค หาของลงขายในอีเบย์ และ การเป็น Affiliate Marketer ซึ่งปัจจุบันหลายบริษัทเปิดรับมากขึ้นเพื่อช่วยกระจายสินค้า 
   แต่ทุกอย่างล้วนต้องศึกษาให้รู้ถึงการทำงานอย่างถ่องแท้ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปแบบไม่สะดุด คนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะเค้ามัวแต่คิด แต่ไม่ลงมือทำถ้าคุณคิดได้ว่าจะทำอะไร วางแผนตั้งเป้าหมายแล้วลงมือเลย ไม่ต้องรอความพร้อมถ้ามัวแต่รอเมื่อไหร่จะได้เริ่มสักที
   และถ้าบางคนคิดว่าที่ชีวิตตนเองไม่มีอะไรสักทีเป็นเพราะเวรกรรม ผมมีบทสวดขออโหสิกรรมมาฝากเผื่อจะช่วยทางด้านจิตใจกันได้บ้าง

บทอธิษฐานขออโหสิกรรม สมเด็จพระพุฒจารย์ โต พรหมรังสี

  กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง
  อสัญจิจะกัมมัง ขะมันตุเม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม.
กรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโปรดยกโทษให้เป็นอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย
แม้แต่กรรมใดๆที่ใครทำไว้แก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน ขอจงดลให้เค้าเหล่านั้นกลับมีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันตลอดไป
ด้วยอานิสงฆ์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพร้อมทั้งครอบครัว ตลอดจนวงศาคณาญาติ ผู้มีอุปการคุณของข้าพเจ้า พ้นจากความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจความทุกข์อย่าได้ใกล้ ความเจ็บไข้อย่าได้มี ขอได้มีความสุขสวัสดีมีชัย เสนียดจัญไรและอุปัทวันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสิ้นหายไป นึกคิดปราถนาสิ่งใดที่เป็นไปด้วยชอบประกอบไปด้วยธรรมแล้ว ขอให้สิ่งนั้นจงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จเทอญ

******** ไม่มีความสำเร็จใด ที่ได้มาโดยไม่ลงมือทำ ********



http://www.p-seangthong.ws/

Fanpage : GDI Prospective


วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

เทคนิคการสร้างชีวิตให้มั่งคั่ง

7 เทคนิคสร้างชีวิตให้มั่งคั่ง



1. หาความรู้ให้ตัวเอง  
    คนเราไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด ความรู้ที่มีก็เหมือนกันการที่คนเราจะหาความรู้ให้ตัวเองไม่แปลก สิ่งที่เรารู้บางทีมันอาจยังไม่พอก็ได้ ยิ่งปัจจุบันนี้ความรู้มีการแบ่งปันกันเยอะแยะ อะไรที่ดีก็หามาใส่ตัวเข้าไปทุกอย่างมันเป็นประโยชน์ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่ที่การเอาไปปรับใช้
2. สานความสัมพันธ์ในการทำงาน
    ทุกงานที่ทำคงไม่สามารถทำคนเดียวให้ดีได้ ต้องอาศัยผู้ร่วมงานไม่ใช่เฉพาะในที่ทำงานแต่ยังรวมถึงคนที่เราทำงานด้วย ถ้ายิ่งเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าคนอื่นแล้วละก็ข้อนี้ต้องเน้นให้หนักเลย ถ้าดูแลเพื่อนร่วมงานไม่ดี งานที่ออกมาคงประสิทธิภาพด้อยลง
3. แบ่งปันดีกว่าแข่งขัน
    ในที่นี้หมายถึงการแบ่งปันความรู้ที่มี ไม่ใช่เฉพาะในงานแต่สังคมคนรอบข้างก็เช่นกัน ยิ่งช่องทางการแบ่งปันมีหลายช่องทางแบบนี้ง่ายเลย การให้แม้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยแต่บางครั้งอาจมีความหมายกับคนที่ต้องการ เห็นโพสต์ที่น่าเบื่อเห็นอะไรที่ดีบ้างก็เข้าท่านะ
4. ประสบการณ์แย่ๆก็มีข้อดีนะ
    ต่อจากข้อที่แล้ว ความรู้ก็มีหลายด้านบางทีด้านแย่ๆก็เป็นตัวช่วยให้เรานำกลับมาคิดมองตัวได้เหมือนกัน เพราะก่อนที่คนจะประสบความสำเร็จต้องมีอุปสรรคบ้าง แต่เราต้องดูวิธีแก้ปัญหาของเค้าต่างหาก ประสบการณ์สอนคนได้ดีกว่าตำราเสียอีก
5. ซื่อสัตย์
    สั้นๆแต่มีความหมายเพราะการงานใดๆที่ขาดความซื่อสัตย์แล้วไซร้ งานนั้นย่อมหาความก้าวหน้าได้ยาก ไม่ซื่อกับคนอื่นว่าแย่แล้วไม่ซื่อกับตัวเองแย่ยิ่งกว่า ความจริงใจสำคัญกับการทำงานทำดีไปเถอะวันนึงความดีมันจะส่งผลกลับมาอย่างไม่น่าเชื่อ
6. รู้จักจัดการ รายรับ-รายจ่าย
    ไม่ใช่การประหยัดนะแต่ต้องเรียกว่า "การจัดการรายได้อย่างคุ้มค่า" ลองคิดดูสิครับถ้าเราใช้เงินมากกว่าที่หาได้ในแต่ละเดือนแล้ว ส่วนที่ใช้เกินไปมันคือหนี้สิน สิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่ถ้าเราใช้น้อยกว่ารายได้นั่นคือ เงินออม นี่สิสิ่งที่หลายคนปราถนา แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ทำให้มีรวยมากกว่าเดิมแล้ว การที่เลือกจ่ายเงินให้กับสิ่งที่คุ้มค่ามันไม่ใช่แค่ประหยัดอย่างเดียว มันหมายถึงอนาคต
7. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกอย่าลืม
     ต้องรู้จักยอมรับตัวเองซะบ้าง ทำอะไรไม่ได้ก็บอกคนอื่นบ้าง บางทีคนอื่นอาจให้แง่คิดข้อคิดเห็นได้ดีกว่าเรา เหมือนที่ขึ้นต้นไว้คนเราไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็อย่าลืมความเป็นตัวตนนะ ไม่ใช่ให้เค้าช่วยแล้วต้องเชื่อเค้าทั้งหมด 

        ถ้าคุณบอกกับตัวเองว่าเรารวยได้ เราก็รวยได้ คุยกับตัวเองให้กำลังใจตัวเอง มีปัญหาก็บอกตัวเองให้สู้ ลองใช้วิธีนี้ดูนะ ยืนนิ่งๆหลับตา หายใจเข้าให้เต็มปอด ค่อยๆหายใจออกยาวๆ ทำสัก 5 ครั้ง แล้วค่อยๆลืมตา เป็นไงครับรู้สึกโล่งรึเปล่า แล้วคุณจะมีสติเอาไว้แก้ปัญหาต่างๆได้

http://www.p-seangthong.ws

Facebook : Pattapron Seangthong

Line ID : 0816748606

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

วิธีการบริหารเครือข่าย

ดูแลเครือข่ายอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จ



      การที่เราเป็นผู้บริหาร หรือ ที่ปรึกษาให้กับเครือข่ายที่ต้องดูแลเหล่า Marketers หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "นักการตลาด" ในที่นี้จะกล่าวถึงผู้ดูแลสายงาน ที่คอยให้คำปรึกษาและป้อนความรู้ที่จำเป็นให้ Marketers แล้วมีอะไรบ้างหล่ะที่พี่เลี้ยงควรมี ลองมาดูกัน

1. อย่าเจาะจงเป้าหมาย
    ธุรกิจเครือข่ายหลายเจ้าล้วนแต่มีเป้าหมาย ไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น หนึ่งในเป้าหมายหลักก็คือ ขยายเครือข่าย ซึ่งก่อให้เกิด Marketers หน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น และถ้าอยากให้มีประสิทธิภาพคุณต้องให้เค้าเหล่านั้น ตั้งเป้าหมายของเค้าเอง เราได้แต่แนะแนวทางให้ คุณว่าถ้าให้ Marketers กำหนดเป้าหมายด้วยตัวเองประหนึ่งว่าธุรกิจที่เค้ากำลังทำอยู่เป็นของเค้าเอง เป้าหมายของเค้าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน
    และเชื่อได้เลยว่า พวกเค้าเหล่านั้นจะไม่ทิ้งธุรกิจของตัวเองไปแน่นอน แม้อุปสรรคจะหนักเพียงใด โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องไปปลุกเค้าด้วยคำว่า " สู้ สู้ สู้ " หรอก เพียงแต่ทำตามข้อถัดไป

2. อย่ากั๊ก
    ในที่นี้คือ มีความรู้ทักษะ หรือ กลยุทธ อะไรโยนใส่เค้าให้หมด อย่าเสียดายมัวหวงวิชา เพราะการที่คุณเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย คุณต้องการอิสระทางการเงิน หรือ ทำน้อยแต่ได้เงินมาก ซึ่งจะเกิดอย่างนั้นได้คุณต้องสร้างระบบ แล้วให้ระบบทำงานแทนคุณ Marketers ก็คือหนึ่งในระบบที่คุณสร้าง ถ้ามัวแต่กั๊กแล้วเมื่อไหร่ระบบจะทำงานเองได้โดยอัตโนมัติ
    แต่ไม่ใช่ไปจับมือเค้าทำนะ แค่เอาทุกอย่างที่มีมาวางแล้วให้เค้าศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ธุรกิจของคุณนี่ คุณไม่ทำใครจะทำ ขนาดนักธุรกิจร้อยล้าน หมื่นล้าน เค้ายังเรียนรู้และพัฒนามาจากประสบการณ์ตัวเองทั้งนั้น อยากจะรวยต้องช่วยตัวเองก่อน
    นี่ดีแค่ไหนมีที่ปรึกษาคอยให้ความรู้และคำแนะนำ เป็นใครก็อยากทำงาน เว้นเสียแต่คนที่วัน วัน หาแต่ข้ออ้างมาสนับสนุนความขี้เกียจของตัวเอง

3. การสื่อสารเป็นกลุ่ม
    ถูกที่เป้าหมายเราให้ Marketers แต่ละคนกำหนดเอง แต่การติดต่อสื่อสาร ที่ต้องกำหนดทิศทางให้เหมือนกันยังคงต้องมี เพราะอย่างไรก็ตามเราอย่าลืมเป้าหมายหลักขององค์กรหรือบริษัท และในยุคปัจจุบันตัวช่วยที่จะรวมตัวกันในสายงานแบบฟรีๆ ก็มีเยอะ อย่าง Facebook group และอื่นๆอีกมากมาย
    การทำงานเป็นทีมย่อมเห็นผลกว่าลุยเดี่ยวอยู่แล้ว ด้วยลักษณะงานที่ต้องการเพิ่มจำนวนด้วยแล้วละก็ ยิ่งจำเป็นต้องมีความเข้าใจในหลักการเดียวกัน ถ้ามีใครแหกคอกไปทำอีกอย่างเมื่อใด อาจนำผลเสียย้อนกลับมาหาองค์กรทั้งหมด อีกอย่างก็ง่ายต่อการกระจายความรู้ทำให้สายงานรู้จักกันเอง ใครเคยเจอปัญหาอะไรก็มาปรึกษาเพื่อหาทางแก้ไขได้อีกด้วย

4. ให้เกีรยติผู้ร่วมงาน
    ในการที่จะเป็นผู้นำที่ดี ควรยอมรับฟังความคิดเห็นต่างจากผู้อื่นบ้าง เพราะคนเราไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างหลอก การที่ให้ Marketers ได้แสดงความคิดเห็น มันก็ยิ่งเป็นการฝึกทักษะในทางหนึ่งและอีกทาง เราจะได้รู้ถึงความคิดของเค้าว่าที่ผ่านมาในการทำงาน เค้าคิดเหมือนกันกับเรารึเปล่า จะได้ปรับแก้ได้ด้วย 
    การที่ต้องดูแลคนๆนึงให้ประสบความสำเร็จนั้นว่ายากแล้ว แต่การที่จะรักษาคนๆนั้นไว้ยากยิ่งกว่า Marketers หลายคน พอเห็นโอกาสที่จะก้าวหน้าในสายงานไหนมักไม่ค่อยลังเลที่จะตัดสินใจกระโดดเข้าไปทำ ไม่มีใครไม่นึกถึงอนาคตใช่มั๊ย แต่ถ้า "พี่เลี้ยง" อย่างคุณดูแลเค้าดีๆ ผลตอบแทนไม่เอาเปรียบกัน เค้าก็จะอยู่กับคุณนาน ดีกว่าปล่อยเค้าไปแล้วตัวเองต้องมานั่งหาคนใหม่ๆเข้ามาเติมเต็ม  

   การที่ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งจะประสบความสำเร็จนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง และผมคิดว่าคงไม่มีนักธุรกิจคนไหนจะสำเร็จตั้งแต่เริ่ม ล้วนแต่ต้องผ่านอะไรมาทั้งสิ้น ฉนั้นการที่เราจะเริ่มธุรกิจใดๆจงอย่ามัวแต่คิด ให้ลงมือทำเลยแต่อย่าลงแบบหมดตัวนะ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ปรับแก้กันไปจนกว่าจะลงตัว


    " ธุรกิจคุณเองนะ คุณไม่ทำแล้วใครจะทำ "





ID Line : 0816748606


วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

คาถา พารวย





วันนี้จะพามาพบกับ คาถา พารวย
      เริ่มต้นจะต้องหาสมุดจดกับปากกามาเตรียมไว้  ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เกี่ยว คาถาวันนี้ไม่ต้องตั้งนะโม 3 จบ แล้วค่อยร่ายคาถา เพียงแต่นำทัศนคติที่ดี มาคอยคิดและวิเคราะห์ตามก็พอ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีอคติเยอะไปมองอะไรก็ไม่ดีไปหมด ของขายไม่ได้ก็โทษเศรษฐกิจ พอขายดีก็ว่าเศรษฐกิจมันดี มันเป็นอย่างนั้นจริงเหรอเศรษฐกิจนี่เป็นตัวแปรได้มากขนาดนั้นจริงเหรอ?
      ลองมาวิเคราะห์ที่ตัวสินค้ากันบ้างมั๊ย เอามาหนึ่งตัวอย่างกว้างๆอย่างอาหาร มีร้านข้าวแกง 2 ร้าน ทำเลของทั้งสองร้าน คือ ริมทางเท้า อยู่ห่างกัน 200 เมตร คนละฝั่งถนน
      ร้านที่ 1 ชื่อร้าน แดงข้าวราดแกง ขายกับข้าวรสชาติดี อาหารสะอาด ราคา 1 อย่าง 25 บาท 2อย่าง 35 บาท (ถือว่าไม่แพง) เพิ่มไข่ 7 บาท 
      ร้านที่ 2 ชื่อร้าน เจ้ไฝ ไบค์ซิเคิล (เพราะแกนำจักรยานสิ่งที่แกชอบมาตกแต่งร้าน) รสชาติอาหารพอๆกัน สะอาดถูกหลักอนามัยเหมือนกันทั้งคู่ ต่างกันตรงวิธีการขาย เจ้ไฝแกขายแบบบุฟเฟ่ กินไม่อั้นอิ่มละ 30 บาท ผักฟรีน้ำดื่มบริการตัวเอง เสริฟให้แก้วละ 5 บาท 
      ถ้าเป็นคุณ คุณจะอุดหนุนร้านไหน บางคนตอบทั้งสองร้านเลย ในมุมมองของผู้บริโภค ถ้าทั้งสองร้านรสชาติอาหารอร่อยเหมือนกัน ความสะอาดเท่ากัน สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเลือกก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณและความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกร้านเจ้ไฝ เพราะเราเป็นคนควบคุมปริมาณเอง เลือกที่จะตักเนื้อมากกว่าผักก็ได้ ในราคาที่ไม่แพง 30 บาทพ่อจะเบิ้ล 2-3 จานเลย
     ในความเป็นจริงคนเราจะกินข้าวได้สักกี่จานใน 1 มื้อ แล้วถ้าคนในร้านเยอะไอ้จานแรกที่ตักผมว่าพูนจานอ่ะ เพราะกลัวหมดกินไปกินมาประกอบกับผักแกล้มแก้เลี่ยน น้ำเปล่าที่ตักไม่อั้นผมว่าอิ่มตั้งแต่จานแรก บางทีโลภตักไข่มา 2 ฟองเพราะรวมอยู่ในอิ่มนึงอยู่แล้ว 30 บาทคุ้มสำหรับผู้บริโภค
     แล้วใช่ว่าร้านเจ้แดงจะขายไม่ได้นะ เพราะผู้บริโภคบางคนก็ไม่ได้คิดจะกินเอาอิ่มขนาดนั้น แต่ก็เป็นลูกค้าพนักงานทั่วไป ไม่เหมือนเจ้ไฝที่จะเป็นคนใช้แรงงานซะส่วนใหญ่
     สรุป ร้านข้าวแกงของเจ้ไฝขายได้มากสุด ด้วยจำนวนลูกค้าที่มีสัดส่วนมากกว่า ที่นี้ลองมาวิเคราะห์กันเป็นข้อๆว่าทำไมร้านข้าวแกงเหมือนกัน รสชาติความสะอาดอยู่ในเกินดีเหมือนกัน ทำไมผลลัพธ์ถึงต่างกัน แยกออกมาได้ 3 ข้อ คือ

1. สร้างแบรนด์
    เจ้ไฝมีแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตั้งแต่ชื่อร้าน เจ้ไฝ ไบค์ซิเคิล ที่เข้ากับการตกแต่งร้าน ทำให้เป็นหนึ่งอย่างที่เป็นสิ่งดึงดูดลูกค้า ฟังแค่ชื่อก็จำง่าย เวลาบอกต่อกันไปก็ทำให้ติดหูไว เพราะแค่เจ้ไฝเดี๋ยวพวกจะถามย้อนอีกว่า "ไฝไหนว่ะ" เมื่อร้านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปแล้วก็มาถึงขั้นตอนที่ 2

2. วิเคราะต้นทุนกำหนดราคา
    อันที่จริงแล้วถ้าเจ้ไฝเอง อยากได้กำไรมากขึ้นก็เพิ่มราคาก็ได้ แต่ถ้าขายราคาสูงไปคนที่เป็นลูกค้าหลักอย่างคนใช้แรงงาน เค้าจะไม่มากินหน่ะสิ ร้านที่ขายได้กำไรมากแต่ไม่ค่อยมีคนมากิน ร้านก็อยู่ได้ไม่นานนักหรอก ลองคิดดูถ้าเจ้ไฝขายอิ่มละ 40-50 บาท คนจะกินอยู่นานแค่ไหน ส่วนขายแบบเจ้แดงราคา 25-35 บาทกำไรเค้าพออยู่ได้แล้ว ลูกค้าก็คนละกลุ่มแล้วถ้าเจ้ไฝมาขาย 40-50 ลูกค้าก็ต้องอยู่กลุ่มเดียวกับเจ้แดง ทีนี้จะขายสู้เจ้แดงไม่ได้ ขายราคาอิ่มละ 30 บาท ลูกค้าคนละกลุ่มกับร้านที่ขายเหมือนกัน ขายกำไรน้อยหน่อยแต่ได้ปริมาณเยอะมันก็อยู่ได้แล้ว ต่อไปส่วนที่ 3 ส่วนสุดท้าย

3. รู้จักเป็นผู้ให้ที่ดี
    เราขายของสิ่งที่เราบอกลูกค้าได้เเละเป็นประโยชน์ก็ควรบอก อย่างเจ้ไฝเมื่อกำไรน้อยเน้นปริมาณก็จำเป็นต้องลดต้นทุน ติดป้ายบอกลูกค้าว่าบริการตัวเอง ตัดค่าจ้างเด็กเสริฟเอามาเป็นคาจ้างล้างจานให้ทันใช้และคอยเก็บกวาดเพื่อความสะอาด แถมยังใจดีเป็นห่วงสุขภาพลูกค้าด้วยการให้ทานผักฟรีอีก อย่างนี้เป็นผู้ให้ที่ดีไม่เอาเปรียบเพราะบอกกันตรงๆ ลูกค้าก็ประทับใจ

ทั้งหมดก็เป็น คาถา พารวย ที่ผมได้นำมาฝาก สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ เพียงแปรงให้เข้ากับธุรกิจที่ท่านกำลังทำอยู่ ทุกอย่างผมว่าการเริ่มต้นมันก็เหมือนๆกัน ต่างกันเพียงทรัพย์ในการลงทุน และทรัพยากรบุคคล แต่หลักๆแล้วธุรกิจที่ดีก็จะมีทิศทางไปในทางเดียวกัน สิ่งที่ผมนำเสนอบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนจบ ขอบคุณครับ


http://www.p-seangthong.ws



วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

9 ข้อที่ควรรู้กับการตลาดออนไลน์

Content Marketing กับการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน
 

หลังจากที่ผมเองได้ทำการตลาดมาสักระยะหนึ่ง ได้เริ่มสังเกตุเห็นตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วว่า content หรือ การให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำอยู่นั้น สำคัญมากเหมือนกัน เพราะผู้ที่สนใจในตัวสินค้าของเราย่อมมีคำถามที่อยู่ในใจมากมาย บางคนอาจไม่กล้าถามทำให้มองข้ามสินค้าของเราไป นั่นเป็นสาเหตุหลักที่เราควรจะนำเสนอข้อมูลสินค้าที่นอกเหนือจากข้อมูลหลัก
มาถึงตอนนี้ผมอยากที่จะขออนุญาตแบ่งวิธีการสร้าง content ออกเป็น 9 ข้อดังนี้

1. อะไรคือ Content Marketing แล้วทำไปทำไม?
หลายคนที่พึ่งเริ่มเข้าสู่การตลาดออนไลน์ ก็จะมีคำถามนี้อยู่เสมอเพราะจะได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ แต่ความหมายของมันหล่ะ มีน้อยคนที่จะพยายามเข้าใจความหมายของมันแต่ถ้ารู้แล้วคำถามที่ว่าทำไปทำไมคงไม่ต้องหาคำตอบ Content Marketing ไม่ต้องมองหาคำตอบในข้อนี้ เพราะผมจะแทรกคำตอบไว้ในทุกข้อหลังจากนี้

2. การขายไอเดียให้เข้าใจ
การขาดการเอาใจใส่ในการทำ Content ถือว่าเป็นเรื่องแย่สำหรับธุรกิจออนไลน์เลยทีเดียว การที่จะสรรค์สร้างไอเดียที่จะนำเสนอข้อมูลหรือความรู้ประกอบเกี่ยวกับสินค้านั้น ขาดไม่ได้เลยคือความเข้าใจในตัวสินค้า และการสื่อสารออกมาให้ผู้ที่สนใจในสินค้าเข้าใจและยอมรับมันด้วย

3. ปรับมุมมองและทัศนคติ
การทำ Content Marketing ต้องเริ่มจากการปรับทัศนคติให้มันใช่สะก่อน ก่อนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่นๆ บางคนยังมองการตลาดแนวนี้ผิดไปจากโครงสร้างเดิมที่ควรจะเป็น เริ่มต้นด้วยมุมมองและแนวคิดดีๆมันก็ทำให้ระหว่างทางที่ธุรกิจดำเนินไป อุปสรรคมันย่อมน้อยลง

4. การวางกลยุทธ์ของเนื้อหา
อย่างที่ผมเคยบอกไปในบทความก่อนหน้านี้ ว่ากลยุทธ์นั้นสำคัญถ้าธุรกิจใดขาดการวางแผน ธุรกิจนั้นก็เริ่มล้มเหลว การทำ Content Marketing ก็เช่นเดียวกันต้องมีแผนที่จะทำเป็นขั้น เป็นตอน ว่าเราจะเริ่มวางเนื้อหาอะไรก่อน จากนั้นทำอะไร และต้องมีผลสรุป ไม่ใช่สักแต่ว่าทำให้ผ่านๆไป

5. การจ้างคน
สำหรับผู้เริ่มทำใหม่ๆที่ยังหาแนวทางของตัวเองไม่เจอ ก็ต้องอาศัยกำลังทรัพย์กันซักเล็กน้อย อย่าอายไปเลยขนาดบริษัทใหญ่ๆเค้ายังจ้างพนักงานประจำมาคอยทำ Content Marketing ให้เลย และก็มีบริษัทที่คอยให้บริการทางด้านนี้อีกไม่น้อย แต่เมื่อเข้าใจแล้วลงมือทำเองจะเป็นการดีที่สุด

6. วางระบบการจัดการ
นักการตลาดที่ดีต้องสร้างระบบให้เป็น เพราะระบบจะเป็นตัวช่วยทำเงินให้เรา เมื่อวางกลยุทธ์แล้วต้องคอยสังเกตุด้วยว่า กลยุทธ์ที่วางไว้ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพหรือไม่ คนที่เราจ้างงานลงมือทำแล้วส่งผลตอบกลับมากี่เปอร์เซนต์ ไม่เช่นนั้น Content ที่ถูกปล่อยออกไปจะสะเปะสะปะไปคนละทิศละทาง จำเป็นต้องมีการจัดการที่ดี

7. การประเมิณผล
ปัจจุบันเครื่องมือที่ช่วยในการติดตาม Content ก็มีมาก Google เองก็มีบริการทางด้านนี้มาบริการไว้ให้ฟรีๆ หรืออย่าง Facebook ก็สังเกตุได้จากยอดไลค์ จากคอมเมนท์ตอบกลับ ว่าที่เราได้ทำการตลาดปล่อยออกไปมันส่งผลด้านใดกลับมา แล้วสรุปประเมิณทำให้มันดีขึ้น ส่วนที่เป็นปัญหาก็ปรับแก้กันไป

8. การเพิ่มประสิทธิภาพ
มาถึงข้อนี้การติดตามการทำงานทุกอย่างคงจะส่งผลอะไรให้เห็นพอสมควร การที่เราทำ Content Marketing มันมีประสิทธิภาพมากเพียงใด หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจเราเลย พอจะมองเห็นภาพของอนาคตว่าควรจะเพิ่มเติมเนื้อหาส่วนไหนลงไป หรือสิ่งที่ไม่จำเป็นก็ตัดทิ้ง คนที่เค้าทำ Content ระดับเทพเค้ายังต้องอาศัยการติดตาม ไม่มีใครที่ทำเสร็จวางตูมเดียวแล้วติดตลาดตลอดชีพหรอก ต้องอาศัยการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักภาพให้ก้าวไปอีกขั้นด้วยกันทั้งนั้น

9. งบประมาณ
พอพูดถึงเรื่องเงินไม่มีใครอยากได้ยินเลย แต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการที่จะทำ Content Marketing ให้ดีนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน ทรัพยากรบางอย่างเค้าก็ไม่ได้มีแจกฟรี แต่ลองคิดถึงผลลัพธ์ที่จะได้กลับมามันก็คุ้มนะ แต่เรื่องจำนวนนี่ก็ขึ้นอยู่กับธุรกิจนั้นๆด้วย บางธุรกิจต้องอาศัยความค่อยเป็นค่อยไป บางธุรกิจอาศัยสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าไม่รีบตลาดก็วายสะก่อนเลยต้องลงทุนสูง เพราะต้องโกยรายได้ช่วงสั้น

สรุป Content Marketing แปลเป็นไทยก็คือ " การทำการตลาดโดยใช้เนื้อหา" และทั้งหมดทั้ง 9 ข้อนั้นก็คือส่วนประกอบของ Content Marketing และผมคิดว่าที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย ขอบคุณครับ

http://www.p-seangthong.ws/

Facebook : Pattapron Seangthong

ID Line : 0816748606



วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด

การสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด

    ผมคิดว่าท่านที่ติดตามบทความผมอยู่น่าจะเริ่มเป็นนักธุรกิจกันหมดแล้ว หรือว่ายังมีใครกลัวที่จะทำธุรกิจอีกรึเปล่า เลิกหาข้ออ้างมาสนับสนุนความกลัวของตัวเองได้แล้วนะ ผมจะวางแผนให้ท่านเป็นข้อๆเพื่อง่ายต่อการเข้าใจนะครับ

1. สร้างจุดแข็งให้กับธุรกิจ

    ทุกคนล้วนต่างมีจุดแข็งในตัวเองโดยทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าคุณจะนำจุดแข็งอะไรมาสู้ในธุรกิจคุณ ไม่ว่าจะเป็น location ของที่ตั้ง ลักษณะพิเศษของธุรกิจ
    เริ่มหาจุดแข็งจากแนวคิด     - ธุรกิจสำเร็จไม่ได้ถ้าปราศจากการวางแผน
                                             - แผนกลยุทธ์ บอกถึงจุดแข็ง/เทคนิค/ข้อได้เปรียบ (บอกถึงจุดที่คู่แข่งไม่มี)
                                             - ยุทธวิธี แผนย่อย ซอยแผนออกเป็นระยะ ให้เหมาะสมกับเวลาและส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง
                                             - เริ่มแผนที่ท่านวางไว้ตั้งแต่วันนี้ คิดแล้วต้องลงมือทำ
    แผนกลยุทธ์ที่ดีนั้น ควรดูจากคนสำเร็จมาก่อนหน้าเรา ดูแล้วนำมาเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ลอกแบบเค้าทำตามทุกอย่าง เพราะท่านไม่สามารถเดินตามเค้าได้ทุกก้าวหลอก ดึงออกมาเฉพาะแนวคิดและบางวิธีการ เพื่อปรับใช้กับธุรกิจเรานั่นเอง

2. วางฐานรากธุรกิจด้วยบันได 7 ขั้น

   ผมบอกไว้ข้างต้นแล้วว่า การวางแผนนั้นสำคัญที่สุดในทางธุรกิจ เพราะถ้าแผนไม่ดีเสมือนฐานรากที่ไม่แข็งแรง ธุรกิจอาจจะล่มได้ เลยต้องออกแบบให้เป็นขั้น เป็นตอน คุณจะเห็นอนาคตของธุรกิจคุณเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่การวางแผนธุรกิจ ลองมาดูว่าแต่ละขั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

       ขั้นที่ 1 วิศัยทัศน์ สิ่งแรกที่คุณต้องประเมิณตัวเองเลยว่า คุณคิดอย่างไรกับธุรกิจของคุณ เราควรจะมองอนาคตของธุรกิจไว้ล่วงหน้า แต่ต้องมองในสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ใช่สร้างความหวังที่เอื้อมไม่ถึงเพราะไม่เช่นนั้นมันจะเป็นเพียง "ฝันเฟื่องไปวันๆ" อย่าลืมว่าคนเรา รวยจนไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมี 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน เริ่มจากสร้างถนนให้ตัวเองเดิน เราจะรู้ว่าเราควรเดินไปทิศทางใด
      ขั้นที่ 2 กำหนดเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายนั้น จะต้องตั้งให้สั้นและรวดเร็ว เพราะช่วงเริ่มเรารอช้าไม่ได้ ถ้าเป้าหมายไม่ชัดเจนทำให้ชัดเจนซะ ถ้าคนที่เรานำมาเป็นแบบอย่างดูแล้วไม่เหมาะกับธุรกิจเราเปลี่ยน พอเจอเป้าหมายที่ดี ผู้นำที่ดี ถึงค่อยชะลอยืดเวลาของเป้าหมายให้ใช้เวลานานขึ้น อย่างเช่น ต้องมีเงิน 1 ล้านภายใน 1 ปี ถ้ามีทุน 1 หมื่น ฝากธนาคารปีนึงก็ไม่ถึงล้าน งั้นลองหาดูสิว่า มันมีธุรกิจอะไรที่ลงทุนน้อย กำไรมาก ความเสี่ยงน้อยสุด มีนะหลายอย่างด้วยลองหาดู
       ขั้นที่ 3 แรงขับเคลื่อนธุรกิจ อันนี้ไม่ต้องอธิบายให้มากความเลย เพราะมันมีคำตอบในตัว คือ คุณแค่หาว่าอะไรเป็นแรงขับเคลื่อนที่จะทำให้ธุรกิจของคุณสำเร็จได้เร็วที่สุด เราจะได้รู้ว่าธุรกิจของเรามีระบบการทำงานอย่างไร ขาดตัวใดแล้วทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปไม่ได้ ในที่สุดเราก็จะรู้เองว่าอะไรที่สำคัญกับธุรกิจเราที่สุด
         ขั้นที่ 4 ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เมื่อรู้แล้วว่าอะไรคือตัวขับเคลื่อนธุรกิจ เราก็จะรู้ว่าสิ่งใดที่จะทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ ต้องขออนุญาตยกตัวอย่างจากธุรกิจที่ทำเพราะจะอธิบายชัดเจนที่สุด ธุรกิจผมไม่ได้ออกไปขายสินค้า ได้แต่นั่งทำการตลาดสิ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนก็คือการโปรโมท การโฆษณา และปัจจัยที่จะทำให้จบการขาย คือการใช้เมล์เพื่อติดตามผู้สนใจ คราวนี้ก็ต้องมาคิดสิว่า ทำยังไงให้เกิดความเชื่อใจและซื้อสินค้าให้จบด้วยเมล์ 14 ฉบับ อะไรประมาณนี้
         ขั้นที่ 5 กำหนดแผนกลยุทธ เมื่อเรากำหนดภาพรวมธุรกิจได้แล้ว เราก็จะมาวางกลยุทธย่อยๆได้ เช่น คุณมีร้านค้าล่ะ แต่จะทำอย่างไรให้หน้าร้านของคุณมีคนเข้ามาเยี่ยมชมเยอะๆ เพราะคนมาหน้าร้านมากเท่าไหร่โอกาสที่สินค้าคุณจะขายได้ก็มีมากขึ้นไปด้วย คราวนี้ก็ขึ้นอยู่ที่คุณจะมีกลยุทธอะไรที่ทำให้เค้าเดินเข้ามาซื้อสินค้าให้ได้มากที่สุด
          ขั้นที่ 6 ริเริ่มลงมือทำ เหมือนที่ผมมานั่งเขียนบทความเหล่านี้ ถ้าผมมัวแต่อ่าน มัวแต่คิดว่าจะเขียนยังไง ไอ้ที่ผมตั้งเป้าหมายว่าช่วงแรกเริ่มจะต้องเขียนบทความ อย่างน้อย 3 บทความต่อ 1 อาทิตย์ และเมื่อครบ 1 เดือนถึงจะมาจัดหน้าบล๊อกบทความ ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำไร้สาระ เพราะมันต้องมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
        ขั้นที่ 7 สรุปผลลัพธ์ ประเมิณผลจากทุกอย่างที่ทำมา แล้วมาวิเคราะห์ผลดี ผลเสีย เพื่อปรับแก้ข้อด้อยของธุรกิจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ 100% สำหรับการตลาด เพราะเมื่อใดที่หยุดทำการตลาดธุรกิจของคุณก็กำลังจะจบลงเช่นกัน

ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ทำอยู่ ขอบคุณครับ

http://www.p-seangthong.ws/


Facebook : Pattapron Seangthong

ID Line : 0816748606